
เมืองซาปา หมอกคลุมทั้งเมือง

สาวสวยกลางสายหมอก

ฮุย...เล...ฮุย ดึงมันริมหน้าผานี่แหล่ะ

มานกำลังเอางูออกมาเจาะปากแล้วเอาลวดมัด

เด็กคนนี้เดินตามตลอดทาง

เด็กคนนี้เดินตามตลอดทาง
ตอนที่ 1 เริ่มออกเดินทาง
กลับมาแล้วนะครับ หนีไปเที่ยวมาทั้งลาวและก็เวียดนามตอนเหนือ ผมกับหลีออกเดินทางจากเชียงคานตอนสาย อาศัยรถสองแถวหวานเย็นเชียงคาน-เลย มาถึงสามแยกบ้านธาตุที่อยู่ห่างจากตำบลเชียงคาน 20 กิโลประมาณ 9 โมงกว่าแล้ว เรานั่งรอรถที่จะวิ่งจากเมืองเลยไปหนองคายแต่ไม่มีมาซะที จนถามชาวบ้านถึงรู้ว่า รถมันหมดไปแล้วก่อนหน้าเรา กรำ!! มาสาย เลยต้องต่อรถสองแถวหวานเย็นอีกครั้งเพื่อไปขึ้นรถในอำเภอปากชมที่ห่างออกไปอีกกว่า 60 กิโล รถออกมาได้นิดเดียวก็จอดข้างทางหน้าร้านที่มีแม่ค้าสองคนตั้งแผงเล็กๆขายข้าวโพดต้ม คนบนรถก็จับจ่ายซื้อกันไปคนละถุงสองถุง แต่ไม่แค่นั้นสิ เพราะบรรดาลูกค้าก็หยิบมันขึ้นมาแทะกันถ้วนหน้าทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ตอนที่อยู่บนรถผมกับหลีไม่ได้นั่ง ที่เต็มหมด ตรงกลางยังมีของที่ชาวบ้านซื้อมาจากเมืองเลย มีทั้งของกิน ของใช้ เครื่องตัดหญ้า ไม่เว้นแม้แต่เครื่องรถยนต์ขนาดเขื่อง หลีเลือกไปยืนกลางรถ ส่วนผมขี้เกียจก้มกว่าจะถึงคงเมื่อยคอแน่ เลยมายืนอยู่ตรงบันไดท้ายรถแทน กลิ่นข้าวโพดทั้งหลายก็อบอวลฟุ้งอยุ่ในรถ ทั้งภาพ เสียงและกลิ่น ครบเลยครับ แต่นั่นก็เป็นวิถีชาวบ้าน “เค้าคงหิวหว่ะ” ผมคิดในใจ ออกมาสักพักรถเริ่มเร็วขึ้น ผมมองทะลุกระจกออกไปเห็นข้างทางมีกลุ่มคนอีกแล้ว ยังไม่ทันได้คิดอะไร น้ำจำนวนมากลอยมากระทบตัวเต็มๆเพราะดันยืนอยู่หลังรถ ฉุนเลยครับ เจ็บแบบไม่ตั้งตัว ผมเลยหันไปมองเห็นเด็กสาวสามคนกำลังหัวเราะร่า แม่มจะรีบเล่นไปไหนวะ วันนี้เพิ่งวันที่ 10 แต่ช่างหัวมัน เด็กเปรต คิดแล้วก็ขำสภาพตัวเองครับ หมดหล่อเร๊ย รถวิ่งออกมาอีกประมาณ 10 กิโล ถึงทางแยก ผมเห็นอีกแล้ว คราวนี้กลุ่มใหญ่กว่าเมื่อกี๊ ถนนนี่เปียกชัดเจน โดนอีกแน่ตรู แต่คราวนี้ไม่ได้กินหรอก ผมกะว่าจะก้มหลบและคาดว่าต้องทันแน่ๆ แต่รถเจ้ากรรมมันไม่วิ่งผ่านไปเหมือนเดิมแล้วครับ กลับค่อยๆชะลอ ช้าลงๆ แล้วก็หยุด เอ่อ แล้วพวกข้างล่างทั้งหัวหงอกหัวดำ มันก็ฉีดน้ำด้วยสายยางขึ้นมาบนรถ คราวนี้เปียกกันถ้วนหน้า ห่าเอ๊ย!!! มีเสียงสบถของบางคนบนรถ หลังจากรถออกมาจากกลุ่มนั้นแล้ว บ้างก็บ่นคนขับว่าจะจอดทำไม ส่วนผมคราวนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้วครับ กลับดีใจที่มีเพื่อนเปียกด้วยกัน ฮ่าๆๆ (ชั่วเนอะ) เรายืนอยู่บนรถจนเกือบจะถึงปลายทางถึงจะได้นั่งพักบ้าง แต่ตอนนี้หลังจากยืนผึ่งลมมานานตัวก็เริ่มแห้งแล้วครับ เรามาถึงท่ารถที่ปากชมตอนประมาณ 11 โมงกว่า เรานั่งรถต่อไปหนองคายทันที รถที่ไปก็ยังหวานเย็นเหมือนเดิม ไม่แค่นั้น มีจอดรถแวะคุยกับเพื่อนบ้าน สั่งของบ้าง เสียเวลาไม่ต่ำกว่าสิบนาทีต่อครั้ง เป็นอย่างนี้หลายรอบ ดีที่วิวข้างทางที่ขนาบด้วยแม่น้ำโขงทำให้ไม่ได้เสียอารมณ์อะไรกับพี่โชเฟอร์ กลัวอย่างเดียวว่าจะไปไม่ทันรถที่เราจะข้ามไปฮานอยเท่านั้น เรามาถึงหนองคายตอนประมาณ 5 โมงเย็น ดูรอบรถที่จะวิ่งไปเวียงจันทน์แล้วไม่น่าจะทัน เราเลยออกไปโบกสามล้อนอกขนส่งในราคาที่ถูกกว่าข้างใน มุ่งไปสะพานมิตรภาพ ตอนที่เรากำลังเข้าคิวรอเข้าด่านฝั่งลาวอยู่นั้น มีพวกรถคิว รถตู้ มาห้อมล้อมเราหลายคนเลยครับ แต่เราไม่สน เพราะตั้งใจว่าจะนั่งรถประจำทางจากท่าด่านไปที่ขนส่งตลาดเช้าในตัวเมืองเวียงจันทน์แล้วค่อยต่อรถอีกทอดไปสายใต้ ผมมองข้างหน้าเราถัดไปอีกคิว เห็นคู่หนุ่มสาวชาวลาว ถือท่อไอเสียเหมือนกับที่เด็กแว๊นบ้านเราเอามาแต่งรถซิ่งแข่งกัน ผมเลยทักทายไป แต่ไม่นึกว่าผลที่ได้รับกลับมาจะเป็นมิตรภาพที่เกินคาด เพราะทั้งคู่อาสาพาเราไปส่งถึงขนส่งสายใต้เลยครับ ชื่อท้าวเพ็ง กับน้องนุ้ย ผมจำได้และสัญญาว่าคราวหน้าจะกลับมาเยี่ยมพวกเค้าตามเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้
เรามาถึงท่ารถสายใต้ตอนใกล้ทุ่มแล้ว ผมโดดลงรถแล้ววิ่งไปจองตั๋วกลัวไม่ทัน มีอยู่สองช่องขายตั๋วนะครับ ผมเลือกเข้าไปด้านซ้ายก่อน แต่คนขายดันสื่อสารกะผมไม่รู้เรื่อง สาวๆตู้ฝั่งขวาเลยเรียกผมเข้าไปคุยแทน ตอนนั้นหลีตามมาสบทบพอดี เราคำนวนค่ารถแล้วประมาณคนละ 900 และไม่ใช่รถ vip ด้วย แต่ เอาวะ ยังงัยก็ต้องเดินทาง เลยจ่ายเงินแลกกับตั๋วสีชมพูมาสองใบ มีเด็กรถมารับเราจากช่องขายตั๋วไปที่รถบัสสีขาวที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร บนรถแน่นมากครับ เต็มแล้วทุกที่ ผมเอากระเป๋าให้เด็กรถไปไว้ช่องเก็บของ แล้วเดินตามขึ้นไป เด็กรถนำผมไปถึงที่นั่งแถวกลางๆที่มีผู้หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ เค้าพูดไรกันไม่รู้ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นให้ผมลงไปนั่งเสียบแทน เออดีเว้ย !! ดูสำคัญดีทีเดียว ช่องเก็บของก็เต็ม ผมเลยต้องไปเอากระเป๋ามาวางไว้ตรงหว่างขาแทน รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย รถที่เรานั่ง เหมือนรถ ปอ.2 ไม่มีห้องน้ำ เอนเบาะได้ไม่มาก ขายาวๆอย่างผมไม่ต้องห่วงติดเต็มๆ บนรถเสียงคนเวียดนามคุยกันโหวกเหวก บางคนก็ยกตีนขึ้นมาวางพาดบนเบาะเกือบจะถึงหัวคนนั่งข้างหน้า เด็กรถปีนป่ายไปมาหยิบเก้าอี้พลาสติกมาเป็นที่นั่งเสริม แล้วคุณน้าที่สละที่ให้ผมก็มานั่งบนเก้าอี้เสริมแทน ผมไม่เข้าใจนะครับว่าทำไม หรือว่าอาจจะซื้อตั๋วได้ถูกกว่า เลยไม่ได้นั่งเบาะนิ่มๆอย่างเราก็ไม่รู้ ผมไม่อยากคิดมาก เลยต่างคนต่างหลับเอาแรงหลักจากเดินทางกันมาแล้วทั้งวัน เรามารู้สึกตัวอีกทีตอนตีสอง รถจอดหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งใน หลักซาว เมืองก่อนถึงด่านข้ามแดนไปเวียดนาม ครั้งนี้เราก็ได้พบเจ้าของเสียงภาษาไทยที่ได้ยินบนรถ เป็นคุณลุงคุณป้าที่มาจากจังหวัดเลยเหมือนกัน แกจะไปเยี่ยมญาติที่เวียดนาม ทั้งคู่พูดภาษาเวียดนามได้ด้วย ถือเป็นเรื่องดีครับ เพราะต่อไปนี้เราคงมีคนคอยแปลและแนะนำอะไรให้เราได้อีกเยอะเลย แต่ตอนนี้พวกเราไปเปิดห้องในโรงแรมระดับประมาณ หนึ่งดาวเอาแรงในราคา 200 บาทก่อนจะเดินทางต่อในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น
เรามาถึงท่ารถสายใต้ตอนใกล้ทุ่มแล้ว ผมโดดลงรถแล้ววิ่งไปจองตั๋วกลัวไม่ทัน มีอยู่สองช่องขายตั๋วนะครับ ผมเลือกเข้าไปด้านซ้ายก่อน แต่คนขายดันสื่อสารกะผมไม่รู้เรื่อง สาวๆตู้ฝั่งขวาเลยเรียกผมเข้าไปคุยแทน ตอนนั้นหลีตามมาสบทบพอดี เราคำนวนค่ารถแล้วประมาณคนละ 900 และไม่ใช่รถ vip ด้วย แต่ เอาวะ ยังงัยก็ต้องเดินทาง เลยจ่ายเงินแลกกับตั๋วสีชมพูมาสองใบ มีเด็กรถมารับเราจากช่องขายตั๋วไปที่รถบัสสีขาวที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร บนรถแน่นมากครับ เต็มแล้วทุกที่ ผมเอากระเป๋าให้เด็กรถไปไว้ช่องเก็บของ แล้วเดินตามขึ้นไป เด็กรถนำผมไปถึงที่นั่งแถวกลางๆที่มีผู้หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ เค้าพูดไรกันไม่รู้ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นให้ผมลงไปนั่งเสียบแทน เออดีเว้ย !! ดูสำคัญดีทีเดียว ช่องเก็บของก็เต็ม ผมเลยต้องไปเอากระเป๋ามาวางไว้ตรงหว่างขาแทน รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย รถที่เรานั่ง เหมือนรถ ปอ.2 ไม่มีห้องน้ำ เอนเบาะได้ไม่มาก ขายาวๆอย่างผมไม่ต้องห่วงติดเต็มๆ บนรถเสียงคนเวียดนามคุยกันโหวกเหวก บางคนก็ยกตีนขึ้นมาวางพาดบนเบาะเกือบจะถึงหัวคนนั่งข้างหน้า เด็กรถปีนป่ายไปมาหยิบเก้าอี้พลาสติกมาเป็นที่นั่งเสริม แล้วคุณน้าที่สละที่ให้ผมก็มานั่งบนเก้าอี้เสริมแทน ผมไม่เข้าใจนะครับว่าทำไม หรือว่าอาจจะซื้อตั๋วได้ถูกกว่า เลยไม่ได้นั่งเบาะนิ่มๆอย่างเราก็ไม่รู้ ผมไม่อยากคิดมาก เลยต่างคนต่างหลับเอาแรงหลักจากเดินทางกันมาแล้วทั้งวัน เรามารู้สึกตัวอีกทีตอนตีสอง รถจอดหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งใน หลักซาว เมืองก่อนถึงด่านข้ามแดนไปเวียดนาม ครั้งนี้เราก็ได้พบเจ้าของเสียงภาษาไทยที่ได้ยินบนรถ เป็นคุณลุงคุณป้าที่มาจากจังหวัดเลยเหมือนกัน แกจะไปเยี่ยมญาติที่เวียดนาม ทั้งคู่พูดภาษาเวียดนามได้ด้วย ถือเป็นเรื่องดีครับ เพราะต่อไปนี้เราคงมีคนคอยแปลและแนะนำอะไรให้เราได้อีกเยอะเลย แต่ตอนนี้พวกเราไปเปิดห้องในโรงแรมระดับประมาณ หนึ่งดาวเอาแรงในราคา 200 บาทก่อนจะเดินทางต่อในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น
วันที่2 บนเส้นทางยาวไกล สู่ ฮานอย
ประมาณตีห้า พนักงานโรงแรมเดินเคาะตามห้องให้พวกเราตื่นเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาข้างล่าง อากาศเช้านี้เย็นครับ คุณลุงคุณป้าก็ลงมาแล้ว ผมเดินออกมานอกโรงแรมดูบรรยากาศ เป็นเมืองเล็กๆ เงียบ แต่สวยโดยเฉพาะโรงแรมที่เรานอนมีภูเขาสูงชันลูกใหญ่ตั้งเป็นวอลลเปเปอร์อยู่ด้านหลัง บวกกับอากาศเย็นๆอย่างนี้ขอบอกว่า เช้านี้ถึงจะได้นอนไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สดชื่นมากกับทิวทัศน์รอบตัว คุณลุงสั่งกาแฟหยดอันขึ้นชื่อของเวียดนาม แต่มันยังหยดไม่ทันได้กินเลย เด็กรถก็มาตามแล้วบอกว่าให้ขึ้นรถทันที กรำ เสียดายมาก ผมก็อยากรู้ว่ารสชาติกาแฟที่นี่เป็นไง หน้าตาเหมือนกาแฟโบราณที่ผมชงขายเลยครับ ด้านล่างมีนมข้น ส่วนด้านบนจะเป็นน้ำกาแฟ เพียงแต่กรรมวิธีการทำไม่เหมือน เพราะเห็นเค้าเอาถ้วยอะไรไม่รู้ว่างไว้ข้างบนแล้วปล่อยให้น้ำมันค่อยๆหยดทีละแหมะ กว่าจะได้กินนานอย่างที่เค้าร่ำลือจริงๆ ไม่เป็นไรครับ งานนี้ผมไม่พลาดแน่ๆ ขอให้ถึงเวียดนามก่อนเฮ๊อะ
เราออกมาไม่กี่กิโลก็ถึงด่านข้ามแดน น้ำพาว ตอนนั้นประมาณ 7 โมงเช้า ทุกคนลงรถ ถือเอกสารกันไปในทางเดินกว้างประมาณสามเมตร มึดสลัว ผมเข้าไปถึงช่องส่งเอกสารเป็นคนที่สอง ยืนต่อคิวสักพัก เพื่อนร่วมทางบนรถก็ทยอยตามมา แล้วก็เริ่มมีจากรถคันอื่นเพิ่มเติมมาอีกเรื่อยๆ มีบางคนถือเอกสารมาเป็นตั้งใหญ่ ข้างในเห็นเสียบแบ็งค์ใบละเท่าไหร่ไม่รู้ครับ คนที่ถือมาเป็นเด็กรถของคันต่างๆที่รับจ้างมาเดินเอกสารให้ ค่าดำเนินการประมาณคนละร้อยบาทเลยนะครับสำหรับค่าจ้าง ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่มายืนต่อคิวกันเอง แต่สักพักผมก็รู้คำตอบเพราะว่า คนที่เข้ามาโดยเฉพาะคนเวียดนามทั้งหลายแหล่ เค้าไม่มีการต่อคิวกันเลย คือ เข้ามาก็แทรกๆ เบียดๆ ดันๆ จนผมหลุดออกไปอยู่ข้างหลัง บางคนก็มาถึงโยนเอกสารเข้าไปข้างในช่องที่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาเปิดห้องทำงาน คือ ต่างคนต่างลัดคิวกัน ชาวต่างชาติที่อยู่บนรถคันเดียวกับผม มายืนต่อแถวเรียงหน้ากระดาน คือทำนองว่ากันๆไม่ให้มีคนแซงคิว ผมก็ขำและนึกในใจ “มันไม่สำเร็จร๊อก ไม่รู้จักเวียดนามซะแล้ว ขนาดสหรัฐยังแพ้แม่มเร๊ยยยย“ เราต่อสู้กับความวุ่นวายรอบตัวจนเรื่องเอกสารเสร็จก็เดินจากด่านฝั่งลาวเพื่อข้ามไปด่านขาเข้า Cao Treo ที่อยู่ห่างไปประมาณ 500 เมตร รถบัสคันที่เรามาด้วยนั้นมาถึงก่อนหน้าแล้วก็เอาสัมภาระของเราทุกอย่างมากองๆไว้ แล้วให้เราแบกเข้าด่านไปเองเพื่อตรวจ บรรยากาศตรงนี้ดูจะวุ่นวายน้อยกว่าเพราะมีเจ้าหน้าที่ทำงานหลายคนเราจึงใช้เวลาไม่นานกับเอกสารทั้งหลายแหล่
หลังจากจัดการเรื่องต่างๆเสร็จ หลีไปแลกเงินภายในบริเวณด่านแล้วตามมาสมทบกับผมบริเวณลานจอดรถ เราได้ยืนคุยกับคุณลุงคุณป้าที่มาด้วยกัน อากาศตอนนี้เย็นจนหนาวครับ แต่ในใจเราทั้งคู่ร้อนจนอยากจะระเบิดพอได้รู้ว่าไอ้ตั๋วที่เราซื้อมานั่นเป็นการซื้อผ่านนายหน้า และราคาแพงกว่าหัวละสามร้อยเลยครับ กรำ โดนไป 600 แล้วเหรอเนี่ย แบบไม่รุ้ตัว เค้าบอกว่าตั๋วราคา 900 นั่นเป็นตั๋วรถนอนวีไอพีเลยครับ และไอ้ช่องข้างขวาที่มาเปิดติดกับช่องขายตั๋วที่ผมเข้าไปคุยตอนแรกนั่น มันคือนายหน้า แม่มเอ๊ย!!! แล้วขนส่งก็ยอมให้เปิดกันอย่างนี้เลยเนอะ คือหากินกันข้างๆนี่แหล่ะ เราทั้งแค้นทั้งขำ แต่มันก็เป็นเรื่องโจ๊กสนุกปากในหมู่คนรอบๆเราตอนนั้นที่ได้ยินเรื่องราว ( พวกเวียดนามมันคงคิดเนอะ ไอ้คนไทยสองตัวนี่โง่ฉิบ)
รถออกจากด่านมาตามเส้นทางที่อยากจะบอกว่า สวยงามมาก เราวิ่งลดระดับความสูงบนทางคดเคี้ยวลงมาเรื่อยๆ มองทิวทัศน์รอบๆแล้วรู้สึกได้เลยว่า ชุ่มชื่นดูมีชีวิตกว่าบ้านเราอีกโข มิน่าอากาศที่นี่ถึงเย็นสบาย เพราะป่าไม้เค้ายังสมบูรณ์อยู่นี่เอง ผมเพลินกับการชมวิวผ่านหน้าต่างรถจนผลอยหลับไป มาตื่นอีกทีตอนที่รถจอดกินข้าว เป็นมื้อแรกของเราในเวียดนามเลยครับ เข้าไปข้างในกลิ่นไม่ค่อยดี รู้สึกเลยว่าอาหารคงไม่ถุกปากแน่ๆ ผมพูดไม่เป็น ฟังก็ไม่รู้เรื่อง จับใจความได้ว่า ไอ้ที่เรากินลักษณะเหมือนข้าวราดแกง มีหมูเป็นชิ้นๆ มีผัดผัก และก็ก้อนอะไรไม่รู้เหมือนป่อเปี๊ยะบ้านเราน่ะ เหล่านี้เรียกว่า “ เกิม “ ในร้านยังมีเฝอรสชาติจืดๆ ไม่เหมือนกันกับที่เราเคยกินที่ลาว แต่ด้วยความหิว เราก็จัดไปได้หมด หันมองรอบๆตัวทุกคนกินกันอย่างเมามันมาก บางโต๊ะสั่งเบียร์มาล้างคอตอนสายๆกันด้วย หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จ เราทั้งคู่ก็ออกอาการเดิมครับ หนังท้องตึงหนังตาก็ย้วยหลับพับกันไป เราตื่นตอนที่รถจอดกินอีกครั้ง แต่คราวนี้ซื้อแต่ส้มมารองท้อง เพราะไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ขอบอกว่า ส้มที่นี่อร่อยครับ และถูกกว่าบ้านเราเยอะ ใครได้ไปลองเลือกหาดูนะครับ
เราทั้งคู่หลับๆตื่นๆจนมาถึงฮานอยตอนหนึ่งทุ่ม เรียกว่าเดินทางกันเกือบ 24 ชั่วโมงเต็มๆ เมื่อยแต่ไม่มากครับ ก่อนจะแยกกับคุณลุงคุณป้ายังได้รับคำแนะนำว่าให้เรียก hanoi taxi เพราะราคาตรงตามมิเตอร์และก็ขับไม่อ้อมด้วย ผมเชื่อและร่ำลาโดยหวังว่าคงจะได้เจอกับท่านอีกครั้งที่เชียงคาน
ผมประทับใจ Taxi ที่นี่ครับ สะอาด คนขับแต่งตัวสุภาพ เสื้อขาวแขนยาวผูกเนคไทด์ มาตรฐานดีกว่าบ้านเราหลายขุม หรือนี่เริ่มเป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า เราเจอคู่แข่งสำคัญที่พร้อมจะมาเป็นอันดับหนึ่งในอาเชี่ยน คนขับรถถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มากแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ผมบอกจุดหมายปลายทางไปที่ ตลาดสามสิบหกสาย (มีพี่ไกด์เจ้าของร้าน do you love me ในเชียงคานแนะนำว่าให้มาเดินเล่นตอนกลางคืน) เลยบอกไปว่าให้ไป market แล้วก็ทำมือกางออกกว้างๆทำนองว่า ตลาดใหญ่ๆกว้างๆทำนองนั้น รถขับมาประมาณ 15 นาทีก็มาจอดอยู่บริเวณหน้าตึกชื่อ vincom ผมยกกระเป๋าลงแล้วแหงนหน้าดู เอ่อ!! กรูบอกว่าไป market เมิงก็เลยพามาห้างซะเลย ฮ่าๆ เอาวะไหนๆละ เดินหาเอาแถวนี้ละกัน เพราะคงไม่รุ้จะสื่อสารอะไรกันดีเลยตัดสินใจออกเดินเหลียวซ้ายแลขวาจนหลงเข้ามาในซอยฝั่งตรงข้ามหน้าห้าง ลึกเข้าไปนิดหน่อยก็เห็นร้านขายเกิมเล็กๆ กับไฟ warm light สว่างชัดเจนหลายดวง กลิ่นข้าวร้อนๆหอมกรุ่น อาหารก็ดูใหม่สะอาดน่ากินกว่าที่เราโดนมาก่อนหน้านี้เยอะ หิวกันด้วย เราเลยจัดกันไปชุดใหญ่ในราคาแค่จานละ 10000 ด่อง หรือประมาณ 18 บาทไทย อิ่มเลยครับ คนขายกับผมก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม หลังจากอิ่มแล้ว ผมก็ถามหาที่พัก ภาษามือง่ายกว่าที่จะพยายามพูดกับใครต่อใคร ผมก็เลยเอามือประสานกันแล้วแนบเอาไว้ข้างแก้มทำนองว่าจะไปนอน เข้าใจเลยครับไม่ต้องคุยอะไรมากมาย เค้าก็ใจดีมาก ป้าแกเดินนำหน้าเราพาไปโรงแรมที่อยู่ห่างออกไปถึง 500 เมตร พอเกือบจะถึงแกหันมาคล้องแขนหลีพาเดินเข้าโรงแรม ส่วนผมกระเตงกระเป๋าสองใบใหญ่ตามไปติดๆ
โรงแรม The ky moi hotel II มาตรฐานประมาณ สองดาวครึ่ง สะอาดพอควรแต่ไม่ถึงกับสมบูรณ์ ห้องขนาดไม่ใหญ่แค่พอเตียงวางได้พอดี มีโทรทัศน์ จอ lcd ให้เราดู มีแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ถือว่าโอเคครับถึงแม้ที่นอนจะเป็นรูเหมือนว่าโดนขี้บุหรี่หล่นใส่หลายๆจุด ราคาก็ประมาณ 500 บาทไทย หลังจากที่จัดของเสร็จเราก็เดินลงมาขอแผนที่ของโรงแรมและคำแนะนำไปตลาดที่เราตามหาอยู่ ได้ผลครับ เราเดินออกมาก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้ว ตามริมถนนจะมีร้านค้าแผงลอยเล็กที่มีแม่ค้ามานั่งขายชา ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มสารพัด มีเรียงรายตลอดทาง และก็มีลูกค้าทุกร้านนะครับ เหมือนกับว่าเค้ามานั่งคุยกัน นั่งดูบรรยากาศของเมืองบนฟุตบาท ผมชอบ ดูเรียบง่ายดี คิดอยากจะลงไปลองนั่งดูเหมือนกันแต่ไว้ก่อน เพราะจุดหมายข้างหน้าเรายังไม่รู้ว่าอยู่อีกไกลแค่ไหน ผมถามทางเค้าไปเรื่อย สังเกตพฤติกรรมของคนที่นี่และการจราจร ที่นี่รถเยอะนะครับ แต่ไม่ยักกะมีรถติด ตามแยกต่างๆมีตัวเลขบอกเวลาสัญญาณไฟเหมือนบ้านเรา แต่การปล่อยรถค่อนข้างเร็ว รอบนึงประมาณ 20 – 30 วินาทีไม่เกินนี้ ทำให้รถที่นี่ไม่ติดออกันให้เป็นมลพิษ แต่ความเป็นระเบียบก็ไม่เหมือนบ้านเรา ผมว่าของเราดีกว่า คือที่นี่ใครคิดจะขับยังไงก็ใส่กันไม่ยั้ง คิดจะเลี้ยวซ้ายขวาก็เปิดไฟเลี้ยวแล้วก็หักหัวรถไปเลยครับ ผมดูแล้วหวาดเสียวมาก แต่แปลก ที่นี่ไม่เคยเห็นรถชนกันเลย เค้าก็ขับเร็วนะครับแต่เหมือนว่าจะระวังตัวกันตลอด บางครั้งก็จะเห็นตำรวจถือกระบองเหมือนว่ากำลังตามล่าเด็กแว๊นในบ้านเรา รถบางคันไม่มีกระจกมองหลัง คนเข็นของริมถนน อยู่ดีๆอยากจะเข็นข้ามฝั่งไปก็หักหัวไปเลย ไม่มีการมองข้างหลังว่ารถที่มาจะชนมั๊ย อันนี้เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่น่าศึกษานะครับ และตลอดทางที่เราเดินจะได้ยินตลอดคือเสียงแตรรถ ครั้งแรกรู้สึกรำคาญ แต่หลังๆ ชิน มันบีบกันทุกวินาที คือได้ยินตลอดเวลา เออวะ วุ่นวายดีแท้
เราเดินตามคำบอกของเจ้าบ้านมาจนถึงริมบึงขนาดกลางๆ “Ho Hoan Kiem” แปลกตาดีครับ เหมือนว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเค้า รอบๆจะถูกประดับประดาด้วยโคมไฟสารพัดสีน้อยใหญ่บนต้นไม้ ดูแล้วก็สวยไปอีกแบบ แต่อันนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ดูมันทำให้วิงเวียน สีเยอะเกิ๊น ตรงกลางมีเหมือนเป็นเจดีย์สถาปัตกรรมแบบจีนตั้งอยู่กลางน้ำ รอบๆมีวัยรุ่นจนถึงคนสูงวัยมานั่ง เดิน วิ่ง รวมถึงนักท่องเที่ยวแบบเรา บางคู่ก็กอดจูบกันดูดดื่มบนม้านั่งให้เราได้เรียนรู้บทรักของคนเวียดนามกันสดๆ ผมเขยิบเข้าไปใกล้ๆเพื่อดูน้ำชัดๆ สกปรกครับ ขยะเยอะ ผมเลยตัดสินใจไม่แวะจุดนี้
ถัดไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร เราก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศไนท์มาเก็ตของฮานอยครับ ไม่ได้แออัดเหมือนตลาดนัดบ้านเรา คือจะมีช่องให้เดินกันกว้างขวางพอควร มีของขายเยอะๆแยะ คล้ายกับคลองถม สินค้าส่วนใหญ่บ้านเราก็มีเหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรสะดุดตาเลยครับ ที่ผ่านมาซื้ออยู่สองอย่างคือลูกไหน กะชะนมไข่มุก นอกนั้นเป็นการเดินเล่นมากกว่า หนำซ้ำผมยังโดนรถมอไซด์ที่นี่ชนตูดเอานิดนึง สาวคนขับยังมีหน้าหันมาทำตาดุใส่อีกด้วย (แน๊ะ ไรวะ เมิงขับรถมาชนตูดกรูข้างหลัง ดันมาด่ากรูในใจอีก ) ว่าไป คนที่นี่ก็ใจเย็นนะครับ ถ้าเป็นบ้านเราลองบีบแตรใส่กัน แม่มตามไปยิงแล้ว ที่นี่ดูแล้ว ไม่เห็นจะมีใครสนใจอะไรเลย
ประมาณตีห้า พนักงานโรงแรมเดินเคาะตามห้องให้พวกเราตื่นเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาข้างล่าง อากาศเช้านี้เย็นครับ คุณลุงคุณป้าก็ลงมาแล้ว ผมเดินออกมานอกโรงแรมดูบรรยากาศ เป็นเมืองเล็กๆ เงียบ แต่สวยโดยเฉพาะโรงแรมที่เรานอนมีภูเขาสูงชันลูกใหญ่ตั้งเป็นวอลลเปเปอร์อยู่ด้านหลัง บวกกับอากาศเย็นๆอย่างนี้ขอบอกว่า เช้านี้ถึงจะได้นอนไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สดชื่นมากกับทิวทัศน์รอบตัว คุณลุงสั่งกาแฟหยดอันขึ้นชื่อของเวียดนาม แต่มันยังหยดไม่ทันได้กินเลย เด็กรถก็มาตามแล้วบอกว่าให้ขึ้นรถทันที กรำ เสียดายมาก ผมก็อยากรู้ว่ารสชาติกาแฟที่นี่เป็นไง หน้าตาเหมือนกาแฟโบราณที่ผมชงขายเลยครับ ด้านล่างมีนมข้น ส่วนด้านบนจะเป็นน้ำกาแฟ เพียงแต่กรรมวิธีการทำไม่เหมือน เพราะเห็นเค้าเอาถ้วยอะไรไม่รู้ว่างไว้ข้างบนแล้วปล่อยให้น้ำมันค่อยๆหยดทีละแหมะ กว่าจะได้กินนานอย่างที่เค้าร่ำลือจริงๆ ไม่เป็นไรครับ งานนี้ผมไม่พลาดแน่ๆ ขอให้ถึงเวียดนามก่อนเฮ๊อะ
เราออกมาไม่กี่กิโลก็ถึงด่านข้ามแดน น้ำพาว ตอนนั้นประมาณ 7 โมงเช้า ทุกคนลงรถ ถือเอกสารกันไปในทางเดินกว้างประมาณสามเมตร มึดสลัว ผมเข้าไปถึงช่องส่งเอกสารเป็นคนที่สอง ยืนต่อคิวสักพัก เพื่อนร่วมทางบนรถก็ทยอยตามมา แล้วก็เริ่มมีจากรถคันอื่นเพิ่มเติมมาอีกเรื่อยๆ มีบางคนถือเอกสารมาเป็นตั้งใหญ่ ข้างในเห็นเสียบแบ็งค์ใบละเท่าไหร่ไม่รู้ครับ คนที่ถือมาเป็นเด็กรถของคันต่างๆที่รับจ้างมาเดินเอกสารให้ ค่าดำเนินการประมาณคนละร้อยบาทเลยนะครับสำหรับค่าจ้าง ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่มายืนต่อคิวกันเอง แต่สักพักผมก็รู้คำตอบเพราะว่า คนที่เข้ามาโดยเฉพาะคนเวียดนามทั้งหลายแหล่ เค้าไม่มีการต่อคิวกันเลย คือ เข้ามาก็แทรกๆ เบียดๆ ดันๆ จนผมหลุดออกไปอยู่ข้างหลัง บางคนก็มาถึงโยนเอกสารเข้าไปข้างในช่องที่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาเปิดห้องทำงาน คือ ต่างคนต่างลัดคิวกัน ชาวต่างชาติที่อยู่บนรถคันเดียวกับผม มายืนต่อแถวเรียงหน้ากระดาน คือทำนองว่ากันๆไม่ให้มีคนแซงคิว ผมก็ขำและนึกในใจ “มันไม่สำเร็จร๊อก ไม่รู้จักเวียดนามซะแล้ว ขนาดสหรัฐยังแพ้แม่มเร๊ยยยย“ เราต่อสู้กับความวุ่นวายรอบตัวจนเรื่องเอกสารเสร็จก็เดินจากด่านฝั่งลาวเพื่อข้ามไปด่านขาเข้า Cao Treo ที่อยู่ห่างไปประมาณ 500 เมตร รถบัสคันที่เรามาด้วยนั้นมาถึงก่อนหน้าแล้วก็เอาสัมภาระของเราทุกอย่างมากองๆไว้ แล้วให้เราแบกเข้าด่านไปเองเพื่อตรวจ บรรยากาศตรงนี้ดูจะวุ่นวายน้อยกว่าเพราะมีเจ้าหน้าที่ทำงานหลายคนเราจึงใช้เวลาไม่นานกับเอกสารทั้งหลายแหล่
หลังจากจัดการเรื่องต่างๆเสร็จ หลีไปแลกเงินภายในบริเวณด่านแล้วตามมาสมทบกับผมบริเวณลานจอดรถ เราได้ยืนคุยกับคุณลุงคุณป้าที่มาด้วยกัน อากาศตอนนี้เย็นจนหนาวครับ แต่ในใจเราทั้งคู่ร้อนจนอยากจะระเบิดพอได้รู้ว่าไอ้ตั๋วที่เราซื้อมานั่นเป็นการซื้อผ่านนายหน้า และราคาแพงกว่าหัวละสามร้อยเลยครับ กรำ โดนไป 600 แล้วเหรอเนี่ย แบบไม่รุ้ตัว เค้าบอกว่าตั๋วราคา 900 นั่นเป็นตั๋วรถนอนวีไอพีเลยครับ และไอ้ช่องข้างขวาที่มาเปิดติดกับช่องขายตั๋วที่ผมเข้าไปคุยตอนแรกนั่น มันคือนายหน้า แม่มเอ๊ย!!! แล้วขนส่งก็ยอมให้เปิดกันอย่างนี้เลยเนอะ คือหากินกันข้างๆนี่แหล่ะ เราทั้งแค้นทั้งขำ แต่มันก็เป็นเรื่องโจ๊กสนุกปากในหมู่คนรอบๆเราตอนนั้นที่ได้ยินเรื่องราว ( พวกเวียดนามมันคงคิดเนอะ ไอ้คนไทยสองตัวนี่โง่ฉิบ)
รถออกจากด่านมาตามเส้นทางที่อยากจะบอกว่า สวยงามมาก เราวิ่งลดระดับความสูงบนทางคดเคี้ยวลงมาเรื่อยๆ มองทิวทัศน์รอบๆแล้วรู้สึกได้เลยว่า ชุ่มชื่นดูมีชีวิตกว่าบ้านเราอีกโข มิน่าอากาศที่นี่ถึงเย็นสบาย เพราะป่าไม้เค้ายังสมบูรณ์อยู่นี่เอง ผมเพลินกับการชมวิวผ่านหน้าต่างรถจนผลอยหลับไป มาตื่นอีกทีตอนที่รถจอดกินข้าว เป็นมื้อแรกของเราในเวียดนามเลยครับ เข้าไปข้างในกลิ่นไม่ค่อยดี รู้สึกเลยว่าอาหารคงไม่ถุกปากแน่ๆ ผมพูดไม่เป็น ฟังก็ไม่รู้เรื่อง จับใจความได้ว่า ไอ้ที่เรากินลักษณะเหมือนข้าวราดแกง มีหมูเป็นชิ้นๆ มีผัดผัก และก็ก้อนอะไรไม่รู้เหมือนป่อเปี๊ยะบ้านเราน่ะ เหล่านี้เรียกว่า “ เกิม “ ในร้านยังมีเฝอรสชาติจืดๆ ไม่เหมือนกันกับที่เราเคยกินที่ลาว แต่ด้วยความหิว เราก็จัดไปได้หมด หันมองรอบๆตัวทุกคนกินกันอย่างเมามันมาก บางโต๊ะสั่งเบียร์มาล้างคอตอนสายๆกันด้วย หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จ เราทั้งคู่ก็ออกอาการเดิมครับ หนังท้องตึงหนังตาก็ย้วยหลับพับกันไป เราตื่นตอนที่รถจอดกินอีกครั้ง แต่คราวนี้ซื้อแต่ส้มมารองท้อง เพราะไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ขอบอกว่า ส้มที่นี่อร่อยครับ และถูกกว่าบ้านเราเยอะ ใครได้ไปลองเลือกหาดูนะครับ
เราทั้งคู่หลับๆตื่นๆจนมาถึงฮานอยตอนหนึ่งทุ่ม เรียกว่าเดินทางกันเกือบ 24 ชั่วโมงเต็มๆ เมื่อยแต่ไม่มากครับ ก่อนจะแยกกับคุณลุงคุณป้ายังได้รับคำแนะนำว่าให้เรียก hanoi taxi เพราะราคาตรงตามมิเตอร์และก็ขับไม่อ้อมด้วย ผมเชื่อและร่ำลาโดยหวังว่าคงจะได้เจอกับท่านอีกครั้งที่เชียงคาน
ผมประทับใจ Taxi ที่นี่ครับ สะอาด คนขับแต่งตัวสุภาพ เสื้อขาวแขนยาวผูกเนคไทด์ มาตรฐานดีกว่าบ้านเราหลายขุม หรือนี่เริ่มเป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า เราเจอคู่แข่งสำคัญที่พร้อมจะมาเป็นอันดับหนึ่งในอาเชี่ยน คนขับรถถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มากแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ผมบอกจุดหมายปลายทางไปที่ ตลาดสามสิบหกสาย (มีพี่ไกด์เจ้าของร้าน do you love me ในเชียงคานแนะนำว่าให้มาเดินเล่นตอนกลางคืน) เลยบอกไปว่าให้ไป market แล้วก็ทำมือกางออกกว้างๆทำนองว่า ตลาดใหญ่ๆกว้างๆทำนองนั้น รถขับมาประมาณ 15 นาทีก็มาจอดอยู่บริเวณหน้าตึกชื่อ vincom ผมยกกระเป๋าลงแล้วแหงนหน้าดู เอ่อ!! กรูบอกว่าไป market เมิงก็เลยพามาห้างซะเลย ฮ่าๆ เอาวะไหนๆละ เดินหาเอาแถวนี้ละกัน เพราะคงไม่รุ้จะสื่อสารอะไรกันดีเลยตัดสินใจออกเดินเหลียวซ้ายแลขวาจนหลงเข้ามาในซอยฝั่งตรงข้ามหน้าห้าง ลึกเข้าไปนิดหน่อยก็เห็นร้านขายเกิมเล็กๆ กับไฟ warm light สว่างชัดเจนหลายดวง กลิ่นข้าวร้อนๆหอมกรุ่น อาหารก็ดูใหม่สะอาดน่ากินกว่าที่เราโดนมาก่อนหน้านี้เยอะ หิวกันด้วย เราเลยจัดกันไปชุดใหญ่ในราคาแค่จานละ 10000 ด่อง หรือประมาณ 18 บาทไทย อิ่มเลยครับ คนขายกับผมก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม หลังจากอิ่มแล้ว ผมก็ถามหาที่พัก ภาษามือง่ายกว่าที่จะพยายามพูดกับใครต่อใคร ผมก็เลยเอามือประสานกันแล้วแนบเอาไว้ข้างแก้มทำนองว่าจะไปนอน เข้าใจเลยครับไม่ต้องคุยอะไรมากมาย เค้าก็ใจดีมาก ป้าแกเดินนำหน้าเราพาไปโรงแรมที่อยู่ห่างออกไปถึง 500 เมตร พอเกือบจะถึงแกหันมาคล้องแขนหลีพาเดินเข้าโรงแรม ส่วนผมกระเตงกระเป๋าสองใบใหญ่ตามไปติดๆ
โรงแรม The ky moi hotel II มาตรฐานประมาณ สองดาวครึ่ง สะอาดพอควรแต่ไม่ถึงกับสมบูรณ์ ห้องขนาดไม่ใหญ่แค่พอเตียงวางได้พอดี มีโทรทัศน์ จอ lcd ให้เราดู มีแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ถือว่าโอเคครับถึงแม้ที่นอนจะเป็นรูเหมือนว่าโดนขี้บุหรี่หล่นใส่หลายๆจุด ราคาก็ประมาณ 500 บาทไทย หลังจากที่จัดของเสร็จเราก็เดินลงมาขอแผนที่ของโรงแรมและคำแนะนำไปตลาดที่เราตามหาอยู่ ได้ผลครับ เราเดินออกมาก็ประมาณ 2 ทุ่มแล้ว ตามริมถนนจะมีร้านค้าแผงลอยเล็กที่มีแม่ค้ามานั่งขายชา ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มสารพัด มีเรียงรายตลอดทาง และก็มีลูกค้าทุกร้านนะครับ เหมือนกับว่าเค้ามานั่งคุยกัน นั่งดูบรรยากาศของเมืองบนฟุตบาท ผมชอบ ดูเรียบง่ายดี คิดอยากจะลงไปลองนั่งดูเหมือนกันแต่ไว้ก่อน เพราะจุดหมายข้างหน้าเรายังไม่รู้ว่าอยู่อีกไกลแค่ไหน ผมถามทางเค้าไปเรื่อย สังเกตพฤติกรรมของคนที่นี่และการจราจร ที่นี่รถเยอะนะครับ แต่ไม่ยักกะมีรถติด ตามแยกต่างๆมีตัวเลขบอกเวลาสัญญาณไฟเหมือนบ้านเรา แต่การปล่อยรถค่อนข้างเร็ว รอบนึงประมาณ 20 – 30 วินาทีไม่เกินนี้ ทำให้รถที่นี่ไม่ติดออกันให้เป็นมลพิษ แต่ความเป็นระเบียบก็ไม่เหมือนบ้านเรา ผมว่าของเราดีกว่า คือที่นี่ใครคิดจะขับยังไงก็ใส่กันไม่ยั้ง คิดจะเลี้ยวซ้ายขวาก็เปิดไฟเลี้ยวแล้วก็หักหัวรถไปเลยครับ ผมดูแล้วหวาดเสียวมาก แต่แปลก ที่นี่ไม่เคยเห็นรถชนกันเลย เค้าก็ขับเร็วนะครับแต่เหมือนว่าจะระวังตัวกันตลอด บางครั้งก็จะเห็นตำรวจถือกระบองเหมือนว่ากำลังตามล่าเด็กแว๊นในบ้านเรา รถบางคันไม่มีกระจกมองหลัง คนเข็นของริมถนน อยู่ดีๆอยากจะเข็นข้ามฝั่งไปก็หักหัวไปเลย ไม่มีการมองข้างหลังว่ารถที่มาจะชนมั๊ย อันนี้เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่น่าศึกษานะครับ และตลอดทางที่เราเดินจะได้ยินตลอดคือเสียงแตรรถ ครั้งแรกรู้สึกรำคาญ แต่หลังๆ ชิน มันบีบกันทุกวินาที คือได้ยินตลอดเวลา เออวะ วุ่นวายดีแท้
เราเดินตามคำบอกของเจ้าบ้านมาจนถึงริมบึงขนาดกลางๆ “Ho Hoan Kiem” แปลกตาดีครับ เหมือนว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเค้า รอบๆจะถูกประดับประดาด้วยโคมไฟสารพัดสีน้อยใหญ่บนต้นไม้ ดูแล้วก็สวยไปอีกแบบ แต่อันนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ดูมันทำให้วิงเวียน สีเยอะเกิ๊น ตรงกลางมีเหมือนเป็นเจดีย์สถาปัตกรรมแบบจีนตั้งอยู่กลางน้ำ รอบๆมีวัยรุ่นจนถึงคนสูงวัยมานั่ง เดิน วิ่ง รวมถึงนักท่องเที่ยวแบบเรา บางคู่ก็กอดจูบกันดูดดื่มบนม้านั่งให้เราได้เรียนรู้บทรักของคนเวียดนามกันสดๆ ผมเขยิบเข้าไปใกล้ๆเพื่อดูน้ำชัดๆ สกปรกครับ ขยะเยอะ ผมเลยตัดสินใจไม่แวะจุดนี้
ถัดไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร เราก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศไนท์มาเก็ตของฮานอยครับ ไม่ได้แออัดเหมือนตลาดนัดบ้านเรา คือจะมีช่องให้เดินกันกว้างขวางพอควร มีของขายเยอะๆแยะ คล้ายกับคลองถม สินค้าส่วนใหญ่บ้านเราก็มีเหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรสะดุดตาเลยครับ ที่ผ่านมาซื้ออยู่สองอย่างคือลูกไหน กะชะนมไข่มุก นอกนั้นเป็นการเดินเล่นมากกว่า หนำซ้ำผมยังโดนรถมอไซด์ที่นี่ชนตูดเอานิดนึง สาวคนขับยังมีหน้าหันมาทำตาดุใส่อีกด้วย (แน๊ะ ไรวะ เมิงขับรถมาชนตูดกรูข้างหลัง ดันมาด่ากรูในใจอีก ) ว่าไป คนที่นี่ก็ใจเย็นนะครับ ถ้าเป็นบ้านเราลองบีบแตรใส่กัน แม่มตามไปยิงแล้ว ที่นี่ดูแล้ว ไม่เห็นจะมีใครสนใจอะไรเลย
วันที่3 เลาะรอบเมืองฮานอย
เราออกมาจากโรงแรมแต่เช้า จุดหมายแรกคือ กิน อิๆ เราเลยฟาดข้าวมันไก่ริมทางกันเป็นมื้อแรก หลังจากนั้นก็เดินไปสู่ที่หมายคือ ร้านทอง ตลาดมืดรับแลกเงิน ฮานอยเช้านี้ไม่ต่างจากเมื่อคืน ยังคงมีร้านน้ำชาเล็กๆตั้งเรียงรายอยู่ทั่วไปบนฟุตบาท ร้านค้าเปิดขึ้นเยอะกว่าเมื่อคืน รถยังคงขวักไขว่โกลาหลปนเสียงแตร ผมซื้อแผนที่เมืองฮานอยในราคาถูกแค่ 5000 ด่อง ก็ประมาณ 9 บาท เราใช้แผนที่นี้ร่วมกับถามทางเจ้าถิ่นไปเรื่อยๆจนถึงร้านทอง ตลาดมึดที่นี่สามารถใช้เงินบาทแลกเป็นเงินด่องได้ด้วย ไม่เหมือน exchange ทั่วไปหรือแม้แต่ธนาคาร หลังจากแลกเงินเสร็จ เราก็เดินกลับโดยแวะห้าง vincom ที่ taxi เอาเรามาแหมะไว้มะคืนนี้ก่อน ดูจากภายนอกแล้ว ค่อนข้างใหญ่ ดูหรูหรา แต่ข้างในไม่ใช่อย่างที่คิด สินค้าไม่ได้มีหลากหลาย และการจัดวางสินค้ายังไม่ค่อยดี มีที่ว่างกว้างขวางมากมาย ผมว่า interior รวมถึงการออกแบบต่างๆยังเทียบคนไทยไม่ได้ เราใช้เวลาไม่นานก็เดินกลับโรงแรมเพื่อเช็คเอ้าท์ แล้วมุ่งหน้าสถานีรถไฟ ดูจากแผนที่ก็ไม่ไกลแต่เดินไปนี่สิ เหนื่อยเหมือนกัน ผมทั้งแบกและลากกระเป๋าไปทั้งสองใบใหญ่ๆ ระหว่างทางเราแวะกินหลายอย่างและก็มาหยุดอยู่หน้าร้านกาแฟ ในร้านมีสาวหมวยใส่แว่นตาน่ารักขาวจั๊วะเป็นเจ้าของร้าน ข้างในมีเมล็ดกาแฟหลายแบบให้เลือก ผมเลือกกาแฟ Silk Arabika และซื้อชุดทำกาแฟหยดมาหกชุดครับ แม่ค้าจับตวงเมล็ดกาแฟใส่เครื่องบดแล้วใส่ห่อแพ็คให้เราอย่างดี ตอนนี้กระเป๋าเริ่มเต็มและหนักขึ้นมาอีกกิโลกว่า เราเดินเลยมาอีกนิดก็เจอร้านกาแฟเล็กๆคราวนี้ผมได้ลองกาแฟหยดอันเลื่องชื่อของเวียดนามซะที อืม!!! มันหยดช้าจริงๆครับ กว่าจะได้กินมันนะ รอไปเฮ้อะ แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอย รสเข้ม มัน และกลิ่นก็หอม ผมถามเจ้าของร้านถึงได้รู้ว่า ที่เราดื่มไปเมื่อกี๊เรียกว่า Fin เราพักเหนื่อยแล้วเดินกันต่อจนมาถึงสถานีรถไฟ Ga Ha noi หลีไปจัดการเรื่องตั๋วเสร็จ เราก็เอากระเป๋าไปฝาก แล้วก็ออกเดินตัวปลิวแบบไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะคราวนี้เราไม่ได้ต้องการมาเที่ยวในสิ่งที่เค้าทำไว้รองรับ แต่ต้องการมาดูวิถีของคนมากกว่า จึงเลือกที่จะไปตามตลาดต่างๆในเมือง ไม่รู้นะครับว่าเดินผ่านถนนอะไรบ้าง ดูจากแผนที่ตรงไหนมีตลาดเราก้อมุ่งหน้าไป บางที่มีตลาดจริงๆ บางจุดก็ไม่มีอย่างที่คิด บางแห่งก็เห็นเค้าเอานกเหยี่ยวมาขาย บนฟุตบาทบางร้านก็ขายตุ๊กแก ตอนที่เราเดินผ่านเห็นแม่ค้ากำลังเอากรรไกรตัดหน้าท้องตุ๊กแกเป็นๆดังกึบๆใส้ทะลัก จนผมเองก็ไม่กล้าจะหันไปมองเต็มตา สยองเกินรับได้ เราเรื่อยเปื่อยและเริ่มเหนื่อยละ มาหยุดอยู่ที่ทะเลสาบขนาดใหญ่ HO TAY ตอนนั้นประมาณสี่โมงเย็น ขอบฟ้าข้างหน้าที่มองไม่เห็นฝั่งปกคลุมไปด้วยหมอก มองเห็นดวงอาทิตย์ลางๆ มีเรือขนาดกลางลอยอยู่บนน้ำ บริเวณโดยรอบสกปรก มีขยะอยู่เต็มไปหมด ตามที่นั่งสาธารณะที่เราเดินผ่านก็มีพวกมะพร้าวสดที่เฉาะฝาเปิดแล้วพร้อมหลอดดูด ไม่แน่ใจว่ากินไปหรือยัง หรือว่าตรงนี้คือที่จับจองของใคร เห็นมีบนเก้าอี้ทุกตัวเลยครับ เราหยุดพักเหนื่อยอยู่ไม่นานก็เริ่มหาทางกลับโดยที่ไม่ต้องเดินอีก เพราะรู้ว่าคงไม่ไหว เลยต้องอาศัยรถเมล์ ขอบอกว่ารถเมล์ที่นี่ดีกว่าบ้านเราโข ผมว่าขนส่งมวลชนที่นี่พัฒนาก้าวหน้าไปมากกว่ากรุงเทพ ในรถมีระบบอะไรซักอย่างก็ไม่รู้ที่เวลาจะจอดป้ายหรือออกรถ มีเสียงคนเหมือน bts อ่ะครับ แต่ผมฟังไม่ออก น่าสนใจนะครับ ประเทศไทยน่าจะเอาอย่างบ้างผมคิดไปพร้อมกับมองดูรายละเอียดรอบตัวบนรถคันนั้น
เรามาถึงสถานีรถไฟตอนหกโมงกว่า แต่รถจะออกตอนประมาณ 1 ทุ่ม เหลือเวลาให้เราได้เตร็ดเตร่อีกเกือบชั่วโมง ผมเลยเลือกที่จะเดินไปลองนั่งร้านน้ำชาริมทางดูบ้าง คุณป้าอายุประมาณ 70 นั่งขายอยู่คนเดียว ในตู้โชว์เล็กๆมีทั้งหมากฝรั่ง น้ำอัดลม เบียร์ ขนมขับเคี้ยว บุหรี่และก็ยาเส้นที่ใช้บ้องไม้ไผ่เจาะรูและมีไม้เล็กเสียบแซมขึ้นมาเหมือนบ้องกัญชา ผมไมได้ลองเพราะพิสูจน์กลิ่นแล้วไม่ค่อยดี หลังจากนั้นผมกับหลีแวะเข้าซอยไปกินมื้อสุดท้ายของวัน และชิมเบียร์ฮานอยดู ไม่ไหวครับ รสชาติแย่มาก แต่ถ้าใครชอบดื่มอะไรแบบเข้มๆผมว่ายี่ห้อนี้โอเคเลยหล่ะ สรุปแล้วกินไม่หมดขวด
คืนนี้เราต้องนอนแยกกันในตู้นอนชั้นสาม มั้ง!! เพราะมันมีสามชั้นครับ เป็นตู้แอร์ ล่างสุดเป็นคุณป้าสองคน ชั้นกลางเป็นชายวัยกลางคนอีกคู่ และเราอยู่บนสุดติดเพดาน จะนั่งก็ยังลำบากเลยครับ ไม่ว่ายังงัยเราทั้งคู่ก็ผลอยหลับไปโดยมีรถไฟสาย Hanoi – Lao Cai กล่อมไปตลอดทาง
วันที่4 เมืองในหมอก (จริงๆ)
รถไฟมาจอดปลายทางตอนตีห้า สถานีเลาไก เราเดินงัวเงียกันลงมาเพื่อมาต่อรถตู้วินที่อยู่ด้านหน้าไปสู่ซาปา ราคาก็ประมาณ 60 บาทเองครับ อากาศค่อนข้างเย็นทีเดียว แต่ไม่ถึงกับหนาว รถวิ่งออกมาตามทางและค่อยๆขึ้นเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วทำให้เราได้เห็นทิวทัศน์สองข้างทาง สวยสมราคา ภาพการทำนาแบบขั้นบันไดอย่างที่เราเห็นในสื่อต่างๆ เริ่มชัดขึ้น เห็นชาวเขาบางคนกำลังเดินอยู่ริมทาง น่าจะกำลังออกไปทำงานกัน ชุดก็คล้ายๆชาวเขาบ้านเรา หมอกก็มีอยู่ทั่วบริเวณ รถวิ่งมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาจอดอยู่ใจกลางเมือง Sapa จุดหมายที่เราตั้งใจที่สุดในทริปนี้ หมอกคลุมทิวเขาข้างหน้า อากาศเย็นสบายมากในขณะที่บ้านเราร้อนตับแล่บ ผมได้ที่พักชื่อ lotus hotel ราคาแค่ 250 บาทเอง ในห้องมีหนึ่งเตียงใหญ่ และอีกเตียงเล็กสำหรับนอนคนเดียว เรียกว่านอนได้สามคนสบายๆเลยครับ ในห้องไม่มีพัดลม ไม่มีแอร์ เข้าใจได้ว่าเพราะที่นี่อากาศเย็นสบายอยู่แล้วกระมัง ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น มี free wifi ให้ลูกค้าด้วย คุ้มค่าครับ ใครจะไปแนะนำว่าให้ไปพักที่นี่ หลังจากเราเก็บของแบบลวกๆ ก็ออกมาเดินชมเมืองกัน สวยจริงๆครับถึงบ้านเมืองจะดูทันสมัยไม่ได้มีตึกเก่าโบราณอย่างที่คิด มีครบทั้งผับ บาร์ ที่พักเรทต่างๆเยอะมาก แต่ที่เราต้องการมากกว่านั้นตอนนี้คือ กิน อีกแล้วครับ เราเดินหาของกินจนมาเจอ อะไรไม่รู้ เหมือนหมูปิ้งแต่ห่อด้วยผักอะไรซักอย่าง มีข้าวหลามจืดๆให้เรากินแก้หิวริมทางพร้อมเฝ้ามองนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปมา เวลาเราเดินไปไหนก็จะมีพวกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างจะเข้ามาคุย อาสาพาไปที่นั่นที่นี่ เยอะมากครับ ชาวเขาก็คอยมาตื้อขายของพวกกางเกง สร้อย สารพัดอย่างคล้ายๆกันหมด วันนี้เราเดินชิมและชมเมืองโดยรอบที่ถือว่าไม่ได้กว้าง สามารถเดินได้ทั่วได้ในไม่ถึงชั่วโมง
ตื่นมาอีกทีช่วงบ่ายแก่ๆ เราออกมาหาของกินอีกรอบ และเดินเวียนเข้าตลาด เดินลงไปตามทางลาดลงเขา แวะเข้าไปในหมู่บ้านแถวนั้น ลงไปก็ลึกครับ แล้วหันกลับมาดูเมืองที่เราอยู่ สวยงามเหมือนภาพวาด ถึงแม้ความเจริญเข้ามาเยอะแต่ก็ยังไม่ได้ทำให้ที่นี่สวยน้อยลง ตอนนี้หมอกเริ่มหนาขึ้นมาก ระยะการมองเห็นไม่เกิน ห้าเมตร หนาวครับ ในความรู้สึกลึกๆประทับใจกับเมืองนี้เข้าเต็มเปา เราแวะดูตลาด หาของกินตามนิสัย และตัดสินใจว่าจะไม่ไปไหนแล้ว จะขออยู่ที่นี่อีกสักวัน
เราออกมาจากโรงแรมแต่เช้า จุดหมายแรกคือ กิน อิๆ เราเลยฟาดข้าวมันไก่ริมทางกันเป็นมื้อแรก หลังจากนั้นก็เดินไปสู่ที่หมายคือ ร้านทอง ตลาดมืดรับแลกเงิน ฮานอยเช้านี้ไม่ต่างจากเมื่อคืน ยังคงมีร้านน้ำชาเล็กๆตั้งเรียงรายอยู่ทั่วไปบนฟุตบาท ร้านค้าเปิดขึ้นเยอะกว่าเมื่อคืน รถยังคงขวักไขว่โกลาหลปนเสียงแตร ผมซื้อแผนที่เมืองฮานอยในราคาถูกแค่ 5000 ด่อง ก็ประมาณ 9 บาท เราใช้แผนที่นี้ร่วมกับถามทางเจ้าถิ่นไปเรื่อยๆจนถึงร้านทอง ตลาดมึดที่นี่สามารถใช้เงินบาทแลกเป็นเงินด่องได้ด้วย ไม่เหมือน exchange ทั่วไปหรือแม้แต่ธนาคาร หลังจากแลกเงินเสร็จ เราก็เดินกลับโดยแวะห้าง vincom ที่ taxi เอาเรามาแหมะไว้มะคืนนี้ก่อน ดูจากภายนอกแล้ว ค่อนข้างใหญ่ ดูหรูหรา แต่ข้างในไม่ใช่อย่างที่คิด สินค้าไม่ได้มีหลากหลาย และการจัดวางสินค้ายังไม่ค่อยดี มีที่ว่างกว้างขวางมากมาย ผมว่า interior รวมถึงการออกแบบต่างๆยังเทียบคนไทยไม่ได้ เราใช้เวลาไม่นานก็เดินกลับโรงแรมเพื่อเช็คเอ้าท์ แล้วมุ่งหน้าสถานีรถไฟ ดูจากแผนที่ก็ไม่ไกลแต่เดินไปนี่สิ เหนื่อยเหมือนกัน ผมทั้งแบกและลากกระเป๋าไปทั้งสองใบใหญ่ๆ ระหว่างทางเราแวะกินหลายอย่างและก็มาหยุดอยู่หน้าร้านกาแฟ ในร้านมีสาวหมวยใส่แว่นตาน่ารักขาวจั๊วะเป็นเจ้าของร้าน ข้างในมีเมล็ดกาแฟหลายแบบให้เลือก ผมเลือกกาแฟ Silk Arabika และซื้อชุดทำกาแฟหยดมาหกชุดครับ แม่ค้าจับตวงเมล็ดกาแฟใส่เครื่องบดแล้วใส่ห่อแพ็คให้เราอย่างดี ตอนนี้กระเป๋าเริ่มเต็มและหนักขึ้นมาอีกกิโลกว่า เราเดินเลยมาอีกนิดก็เจอร้านกาแฟเล็กๆคราวนี้ผมได้ลองกาแฟหยดอันเลื่องชื่อของเวียดนามซะที อืม!!! มันหยดช้าจริงๆครับ กว่าจะได้กินมันนะ รอไปเฮ้อะ แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอย รสเข้ม มัน และกลิ่นก็หอม ผมถามเจ้าของร้านถึงได้รู้ว่า ที่เราดื่มไปเมื่อกี๊เรียกว่า Fin เราพักเหนื่อยแล้วเดินกันต่อจนมาถึงสถานีรถไฟ Ga Ha noi หลีไปจัดการเรื่องตั๋วเสร็จ เราก็เอากระเป๋าไปฝาก แล้วก็ออกเดินตัวปลิวแบบไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะคราวนี้เราไม่ได้ต้องการมาเที่ยวในสิ่งที่เค้าทำไว้รองรับ แต่ต้องการมาดูวิถีของคนมากกว่า จึงเลือกที่จะไปตามตลาดต่างๆในเมือง ไม่รู้นะครับว่าเดินผ่านถนนอะไรบ้าง ดูจากแผนที่ตรงไหนมีตลาดเราก้อมุ่งหน้าไป บางที่มีตลาดจริงๆ บางจุดก็ไม่มีอย่างที่คิด บางแห่งก็เห็นเค้าเอานกเหยี่ยวมาขาย บนฟุตบาทบางร้านก็ขายตุ๊กแก ตอนที่เราเดินผ่านเห็นแม่ค้ากำลังเอากรรไกรตัดหน้าท้องตุ๊กแกเป็นๆดังกึบๆใส้ทะลัก จนผมเองก็ไม่กล้าจะหันไปมองเต็มตา สยองเกินรับได้ เราเรื่อยเปื่อยและเริ่มเหนื่อยละ มาหยุดอยู่ที่ทะเลสาบขนาดใหญ่ HO TAY ตอนนั้นประมาณสี่โมงเย็น ขอบฟ้าข้างหน้าที่มองไม่เห็นฝั่งปกคลุมไปด้วยหมอก มองเห็นดวงอาทิตย์ลางๆ มีเรือขนาดกลางลอยอยู่บนน้ำ บริเวณโดยรอบสกปรก มีขยะอยู่เต็มไปหมด ตามที่นั่งสาธารณะที่เราเดินผ่านก็มีพวกมะพร้าวสดที่เฉาะฝาเปิดแล้วพร้อมหลอดดูด ไม่แน่ใจว่ากินไปหรือยัง หรือว่าตรงนี้คือที่จับจองของใคร เห็นมีบนเก้าอี้ทุกตัวเลยครับ เราหยุดพักเหนื่อยอยู่ไม่นานก็เริ่มหาทางกลับโดยที่ไม่ต้องเดินอีก เพราะรู้ว่าคงไม่ไหว เลยต้องอาศัยรถเมล์ ขอบอกว่ารถเมล์ที่นี่ดีกว่าบ้านเราโข ผมว่าขนส่งมวลชนที่นี่พัฒนาก้าวหน้าไปมากกว่ากรุงเทพ ในรถมีระบบอะไรซักอย่างก็ไม่รู้ที่เวลาจะจอดป้ายหรือออกรถ มีเสียงคนเหมือน bts อ่ะครับ แต่ผมฟังไม่ออก น่าสนใจนะครับ ประเทศไทยน่าจะเอาอย่างบ้างผมคิดไปพร้อมกับมองดูรายละเอียดรอบตัวบนรถคันนั้น
เรามาถึงสถานีรถไฟตอนหกโมงกว่า แต่รถจะออกตอนประมาณ 1 ทุ่ม เหลือเวลาให้เราได้เตร็ดเตร่อีกเกือบชั่วโมง ผมเลยเลือกที่จะเดินไปลองนั่งร้านน้ำชาริมทางดูบ้าง คุณป้าอายุประมาณ 70 นั่งขายอยู่คนเดียว ในตู้โชว์เล็กๆมีทั้งหมากฝรั่ง น้ำอัดลม เบียร์ ขนมขับเคี้ยว บุหรี่และก็ยาเส้นที่ใช้บ้องไม้ไผ่เจาะรูและมีไม้เล็กเสียบแซมขึ้นมาเหมือนบ้องกัญชา ผมไมได้ลองเพราะพิสูจน์กลิ่นแล้วไม่ค่อยดี หลังจากนั้นผมกับหลีแวะเข้าซอยไปกินมื้อสุดท้ายของวัน และชิมเบียร์ฮานอยดู ไม่ไหวครับ รสชาติแย่มาก แต่ถ้าใครชอบดื่มอะไรแบบเข้มๆผมว่ายี่ห้อนี้โอเคเลยหล่ะ สรุปแล้วกินไม่หมดขวด
คืนนี้เราต้องนอนแยกกันในตู้นอนชั้นสาม มั้ง!! เพราะมันมีสามชั้นครับ เป็นตู้แอร์ ล่างสุดเป็นคุณป้าสองคน ชั้นกลางเป็นชายวัยกลางคนอีกคู่ และเราอยู่บนสุดติดเพดาน จะนั่งก็ยังลำบากเลยครับ ไม่ว่ายังงัยเราทั้งคู่ก็ผลอยหลับไปโดยมีรถไฟสาย Hanoi – Lao Cai กล่อมไปตลอดทาง
วันที่4 เมืองในหมอก (จริงๆ)
รถไฟมาจอดปลายทางตอนตีห้า สถานีเลาไก เราเดินงัวเงียกันลงมาเพื่อมาต่อรถตู้วินที่อยู่ด้านหน้าไปสู่ซาปา ราคาก็ประมาณ 60 บาทเองครับ อากาศค่อนข้างเย็นทีเดียว แต่ไม่ถึงกับหนาว รถวิ่งออกมาตามทางและค่อยๆขึ้นเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วทำให้เราได้เห็นทิวทัศน์สองข้างทาง สวยสมราคา ภาพการทำนาแบบขั้นบันไดอย่างที่เราเห็นในสื่อต่างๆ เริ่มชัดขึ้น เห็นชาวเขาบางคนกำลังเดินอยู่ริมทาง น่าจะกำลังออกไปทำงานกัน ชุดก็คล้ายๆชาวเขาบ้านเรา หมอกก็มีอยู่ทั่วบริเวณ รถวิ่งมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาจอดอยู่ใจกลางเมือง Sapa จุดหมายที่เราตั้งใจที่สุดในทริปนี้ หมอกคลุมทิวเขาข้างหน้า อากาศเย็นสบายมากในขณะที่บ้านเราร้อนตับแล่บ ผมได้ที่พักชื่อ lotus hotel ราคาแค่ 250 บาทเอง ในห้องมีหนึ่งเตียงใหญ่ และอีกเตียงเล็กสำหรับนอนคนเดียว เรียกว่านอนได้สามคนสบายๆเลยครับ ในห้องไม่มีพัดลม ไม่มีแอร์ เข้าใจได้ว่าเพราะที่นี่อากาศเย็นสบายอยู่แล้วกระมัง ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น มี free wifi ให้ลูกค้าด้วย คุ้มค่าครับ ใครจะไปแนะนำว่าให้ไปพักที่นี่ หลังจากเราเก็บของแบบลวกๆ ก็ออกมาเดินชมเมืองกัน สวยจริงๆครับถึงบ้านเมืองจะดูทันสมัยไม่ได้มีตึกเก่าโบราณอย่างที่คิด มีครบทั้งผับ บาร์ ที่พักเรทต่างๆเยอะมาก แต่ที่เราต้องการมากกว่านั้นตอนนี้คือ กิน อีกแล้วครับ เราเดินหาของกินจนมาเจอ อะไรไม่รู้ เหมือนหมูปิ้งแต่ห่อด้วยผักอะไรซักอย่าง มีข้าวหลามจืดๆให้เรากินแก้หิวริมทางพร้อมเฝ้ามองนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปมา เวลาเราเดินไปไหนก็จะมีพวกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างจะเข้ามาคุย อาสาพาไปที่นั่นที่นี่ เยอะมากครับ ชาวเขาก็คอยมาตื้อขายของพวกกางเกง สร้อย สารพัดอย่างคล้ายๆกันหมด วันนี้เราเดินชิมและชมเมืองโดยรอบที่ถือว่าไม่ได้กว้าง สามารถเดินได้ทั่วได้ในไม่ถึงชั่วโมง
ตื่นมาอีกทีช่วงบ่ายแก่ๆ เราออกมาหาของกินอีกรอบ และเดินเวียนเข้าตลาด เดินลงไปตามทางลาดลงเขา แวะเข้าไปในหมู่บ้านแถวนั้น ลงไปก็ลึกครับ แล้วหันกลับมาดูเมืองที่เราอยู่ สวยงามเหมือนภาพวาด ถึงแม้ความเจริญเข้ามาเยอะแต่ก็ยังไม่ได้ทำให้ที่นี่สวยน้อยลง ตอนนี้หมอกเริ่มหนาขึ้นมาก ระยะการมองเห็นไม่เกิน ห้าเมตร หนาวครับ ในความรู้สึกลึกๆประทับใจกับเมืองนี้เข้าเต็มเปา เราแวะดูตลาด หาของกินตามนิสัย และตัดสินใจว่าจะไม่ไปไหนแล้ว จะขออยู่ที่นี่อีกสักวัน
วันที่4 โดนอีกจนได้
เราออกมาหาของกินในตลาดแต่เช้า และยังคงเดินสัมผัสความหนาวเย็นที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง หลังจากอิ่มกันแล้วก็เริ่มเรื่อยเปื่อยกับเส้นทางเดิมของเมื่อวาน ลงเขาไปในหมู่บ้านคนที่ปลูกติดๆกัน ผมไม่รู้นะครับว่าเราจะไปไหน ทั้งที่ทราบว่าแถวนั้นมี หมู่บ้าน cat cat , Lao chai อะไรก็ตามแต่ แต่ไม่ได้คิดจะไป ผ่านบ้านคนเรื่อยมาจนถึงบริเวณไร่นา หมอกยังจัดอยู่ ทางที่เราไปถึงจะค่อยๆออกห่างจากเมือง เป็นเส้นทางเล็กๆ แต่ลาดด้วยปูน เดินได้ไม่ลำบากอะไร ตอนนี้ผมมองไม่เห็นเมืองข้างบนแล้วครับ หมอกปิดจนมึดสนิท เราค่อยๆเดินลึกไปจนทางกลายเป็นดิน แต่ไม่แฉะ ข้างหน้ามีบ้านคนหลังเล็กๆ มีกลุ่มเด็กกำลังเล่นกัน เด็กหญิงคนนึงกำลังจูงควายอยู่ เด็กคนนั้นพอเห็นเราก็ผละจากกลุ่มเพื่อนและเข้ามาทักทายเราครับ เด็กชาวเขาคนนี้เก่งหน้าตาจิ้มลิ้ม ถึงผิวจะคล้ำบ้าง พูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างคล่อง พอสื่อสารกันได้ เราทักทายกันไม่นาน เด็กคนนั้นก็หยิบสร้อยข้อมือถัก กับหมอนปักใบเล็กๆเป็นแบบชาวเขาให้เราทั้งคู่ ประทับใจครับ ผมขอบคุณและขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก เราลาและผละออกมาจากเธอ ยังคงมุ่งหน้าแบบไร้จุดหมายต่อไป ไม่นานเด็กคนนั้นก็วิ่งตามมาพร้อมกับแบกตะกร้าขึ้นหลังใบใหญ่ เธอบอกว่าข้างล่างนั่นคือ หมู่บ้าน cat cat และอาสาจะนำทางเราไป ผมเห็นว่าระยะทางไม่ไกล เลยเดินตามไปลัดเลาะลงบนเส้นทางสูงชัน แน่นอนครับผมรั้งอยู่ท้ายสุด บางช่วงก็เดินไม่ออกเพราะโรคกลัวความสูงกำเริบ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็ลงมาถึงเบื้องล่าง มีบ้านหลังเล็กๆปลูกอยู่หลังเดียว เด็กคนนั้นหยุดครับ และเริ่มพูดอะไรไม่รู้ แต่เห็นหน้าแล้วเหมือนว่าตอนนี้เธอมีเขางอกออกมาจากหัวสองข้าง เขี้ยวที่ซ่อนไว้ค่อยๆโผล่อออกมาให้เราเห็น แล้วเธอก็ควักสิ่งที่อยู่ในตะกร้าข้างหลังออกมา เพียบเลยครับ สารพัดสินค้า ทั้งกางเกง ทั้งกระเป๋าเป้ สร้อย เหมือนอย่างที่เราเจอในเมืองเด๊ะ เธอบอกว่าให้เราช่วยซื้อหน่อย ผมกับหลีทำหน้าไม่ถูก ไอ้ครั้นจะให้เงินค่านำทางแทนการซื้อของ เค้าก้อไม่เอา งานนั้นเลยได้เป้ชาวเขามาอีกใบ หนำซ้ำ เธอยังทิ้งเราอยู่สองคน พร้อมชี้นิ้วไปว่า ถ้าจะไป cat cat ต้องเดินไปตามทางที่เธอโบ้ยไปอีกห้ากิโล กรำ !!!! ผมกับหลี เอ๋อกันไปพักนึง ไม่รู้จะทำไงดี แล้วเธอก็เดินไปกับคุณแม่ที่มารับหายวับเข้าไปในสายหมอก ราวกับปีศาจน้อยหายตัว เฮ่อ!! กรู๊นะกรู โดนเด็กตัวกระเปี๊ยกหลอกมาขายของซะข้างล่าง ไอ้โง่ๆอย่างผมอ่ะไม่เท่าไหร่ คนข้างๆนี่สิ จบโทนิด้า ก็ดันโดนไปกับผมด้วย เศร้าาาาา นี่แหล่ะ มิน่า อเมริกาแม่มยังรบไม่ชนะมันเลย นับประสาอะไรกับเราคนไทยตัวน้อยๆ ฮ่าๆ
งานนี้ลุงกับป้าแก่ๆต้องเดินกลับไปทางเดิม เพราะขืนไปต่อคงไม่ไหว ใส่อีแตะมาทั้งคู่เลย ไม่ได้เตรียมมา trekking เามองหน้า คุยกันว่าเอาไง ตกลงว่าต้องกลับ คราวนี้ต้อง ปีนสิครับ ไอ้ตอนลงลำบากแค่ไหนก็ยังโอเค ตอนขึ้นนี่สิ ชันโคตร ไม่แค่นั้น ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นส่องแสงส่งความร้อนลงมาบ้างแล้ว หมอกค่อยๆจาง เวลานี้ถึงจะเย็นก็เหอะ แต่ด้วยการปีนป่ายก็เล่นเราเหงื่อท่วมทั้งคู่ ทั้งคิด ทั้งแค้น แต่ทำไรไม่ถูก ได้แต่หัวเราะตัวเองอีกแล้ว ตอนลงไม่นาน แต่ตอนขึ้นเป็นชั่วโมง กว่าจะมาถึงในเมืองได้ เล่นเอาหอบแฮ่ก เฮ่อ งานนี้เหนื่อยโคตรครับ เราออกไปหาอะไรกินกันหลังจากเสียพลังงานและก็เสียรู้ไปเยอะ มาจบที่ข้าวผัด ไข่ เจียว แล้วก็เจอภาพที่ไม่น่าดูอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นร้านอาหารเหมือนกัน ในกรงใต้โต๊ะมีงูเขียวตัวเขื่อง ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนึงเอามันออกมา แล้วเอาลวดแทงปากจากคางทะลุด้านบน แล้วม้วนเย็บมันติดเข้าด้วยกัน ผมไม่ทราบนะว่าเค้าทำไปทำไม แต่ สงสารงูตัวนั้นจัง เฮ่อ!!!
วันนี้ผมสำรวจทางที่กลับ เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปฮานอย แต่เลือกที่จะไปต่อทาง เดียนเบียนฟู แล้วจุดหมายต่อไปคือหลวงพระบาง คิดได้งั้นจึงเข้าไปปรึกษาเจ้าของที่พัก แล้วเค้าก็จองตั๋วรถโดยสารที่จะมารับเราในตอนหกโมงเช้าในวันรุ่งขึ้น ถือว่าวันนี้เราได้รับอรรถรสต่างๆของเมืองนี้เรียบร้อย ทั้งโดนเด็กน้อยตุ๋นจนเปื่อย ทั้งเหนื่อย ทั้งมีความสุข แต่คืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายแล้วสินะที่เราจะได้สัมผัสบรรยากาศที่น่าหลงไหลแบบนี้ ซาปา
เราออกมาหาของกินในตลาดแต่เช้า และยังคงเดินสัมผัสความหนาวเย็นที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง หลังจากอิ่มกันแล้วก็เริ่มเรื่อยเปื่อยกับเส้นทางเดิมของเมื่อวาน ลงเขาไปในหมู่บ้านคนที่ปลูกติดๆกัน ผมไม่รู้นะครับว่าเราจะไปไหน ทั้งที่ทราบว่าแถวนั้นมี หมู่บ้าน cat cat , Lao chai อะไรก็ตามแต่ แต่ไม่ได้คิดจะไป ผ่านบ้านคนเรื่อยมาจนถึงบริเวณไร่นา หมอกยังจัดอยู่ ทางที่เราไปถึงจะค่อยๆออกห่างจากเมือง เป็นเส้นทางเล็กๆ แต่ลาดด้วยปูน เดินได้ไม่ลำบากอะไร ตอนนี้ผมมองไม่เห็นเมืองข้างบนแล้วครับ หมอกปิดจนมึดสนิท เราค่อยๆเดินลึกไปจนทางกลายเป็นดิน แต่ไม่แฉะ ข้างหน้ามีบ้านคนหลังเล็กๆ มีกลุ่มเด็กกำลังเล่นกัน เด็กหญิงคนนึงกำลังจูงควายอยู่ เด็กคนนั้นพอเห็นเราก็ผละจากกลุ่มเพื่อนและเข้ามาทักทายเราครับ เด็กชาวเขาคนนี้เก่งหน้าตาจิ้มลิ้ม ถึงผิวจะคล้ำบ้าง พูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างคล่อง พอสื่อสารกันได้ เราทักทายกันไม่นาน เด็กคนนั้นก็หยิบสร้อยข้อมือถัก กับหมอนปักใบเล็กๆเป็นแบบชาวเขาให้เราทั้งคู่ ประทับใจครับ ผมขอบคุณและขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก เราลาและผละออกมาจากเธอ ยังคงมุ่งหน้าแบบไร้จุดหมายต่อไป ไม่นานเด็กคนนั้นก็วิ่งตามมาพร้อมกับแบกตะกร้าขึ้นหลังใบใหญ่ เธอบอกว่าข้างล่างนั่นคือ หมู่บ้าน cat cat และอาสาจะนำทางเราไป ผมเห็นว่าระยะทางไม่ไกล เลยเดินตามไปลัดเลาะลงบนเส้นทางสูงชัน แน่นอนครับผมรั้งอยู่ท้ายสุด บางช่วงก็เดินไม่ออกเพราะโรคกลัวความสูงกำเริบ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็ลงมาถึงเบื้องล่าง มีบ้านหลังเล็กๆปลูกอยู่หลังเดียว เด็กคนนั้นหยุดครับ และเริ่มพูดอะไรไม่รู้ แต่เห็นหน้าแล้วเหมือนว่าตอนนี้เธอมีเขางอกออกมาจากหัวสองข้าง เขี้ยวที่ซ่อนไว้ค่อยๆโผล่อออกมาให้เราเห็น แล้วเธอก็ควักสิ่งที่อยู่ในตะกร้าข้างหลังออกมา เพียบเลยครับ สารพัดสินค้า ทั้งกางเกง ทั้งกระเป๋าเป้ สร้อย เหมือนอย่างที่เราเจอในเมืองเด๊ะ เธอบอกว่าให้เราช่วยซื้อหน่อย ผมกับหลีทำหน้าไม่ถูก ไอ้ครั้นจะให้เงินค่านำทางแทนการซื้อของ เค้าก้อไม่เอา งานนั้นเลยได้เป้ชาวเขามาอีกใบ หนำซ้ำ เธอยังทิ้งเราอยู่สองคน พร้อมชี้นิ้วไปว่า ถ้าจะไป cat cat ต้องเดินไปตามทางที่เธอโบ้ยไปอีกห้ากิโล กรำ !!!! ผมกับหลี เอ๋อกันไปพักนึง ไม่รู้จะทำไงดี แล้วเธอก็เดินไปกับคุณแม่ที่มารับหายวับเข้าไปในสายหมอก ราวกับปีศาจน้อยหายตัว เฮ่อ!! กรู๊นะกรู โดนเด็กตัวกระเปี๊ยกหลอกมาขายของซะข้างล่าง ไอ้โง่ๆอย่างผมอ่ะไม่เท่าไหร่ คนข้างๆนี่สิ จบโทนิด้า ก็ดันโดนไปกับผมด้วย เศร้าาาาา นี่แหล่ะ มิน่า อเมริกาแม่มยังรบไม่ชนะมันเลย นับประสาอะไรกับเราคนไทยตัวน้อยๆ ฮ่าๆ
งานนี้ลุงกับป้าแก่ๆต้องเดินกลับไปทางเดิม เพราะขืนไปต่อคงไม่ไหว ใส่อีแตะมาทั้งคู่เลย ไม่ได้เตรียมมา trekking เามองหน้า คุยกันว่าเอาไง ตกลงว่าต้องกลับ คราวนี้ต้อง ปีนสิครับ ไอ้ตอนลงลำบากแค่ไหนก็ยังโอเค ตอนขึ้นนี่สิ ชันโคตร ไม่แค่นั้น ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นส่องแสงส่งความร้อนลงมาบ้างแล้ว หมอกค่อยๆจาง เวลานี้ถึงจะเย็นก็เหอะ แต่ด้วยการปีนป่ายก็เล่นเราเหงื่อท่วมทั้งคู่ ทั้งคิด ทั้งแค้น แต่ทำไรไม่ถูก ได้แต่หัวเราะตัวเองอีกแล้ว ตอนลงไม่นาน แต่ตอนขึ้นเป็นชั่วโมง กว่าจะมาถึงในเมืองได้ เล่นเอาหอบแฮ่ก เฮ่อ งานนี้เหนื่อยโคตรครับ เราออกไปหาอะไรกินกันหลังจากเสียพลังงานและก็เสียรู้ไปเยอะ มาจบที่ข้าวผัด ไข่ เจียว แล้วก็เจอภาพที่ไม่น่าดูอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นร้านอาหารเหมือนกัน ในกรงใต้โต๊ะมีงูเขียวตัวเขื่อง ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนึงเอามันออกมา แล้วเอาลวดแทงปากจากคางทะลุด้านบน แล้วม้วนเย็บมันติดเข้าด้วยกัน ผมไม่ทราบนะว่าเค้าทำไปทำไม แต่ สงสารงูตัวนั้นจัง เฮ่อ!!!
วันนี้ผมสำรวจทางที่กลับ เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปฮานอย แต่เลือกที่จะไปต่อทาง เดียนเบียนฟู แล้วจุดหมายต่อไปคือหลวงพระบาง คิดได้งั้นจึงเข้าไปปรึกษาเจ้าของที่พัก แล้วเค้าก็จองตั๋วรถโดยสารที่จะมารับเราในตอนหกโมงเช้าในวันรุ่งขึ้น ถือว่าวันนี้เราได้รับอรรถรสต่างๆของเมืองนี้เรียบร้อย ทั้งโดนเด็กน้อยตุ๋นจนเปื่อย ทั้งเหนื่อย ทั้งมีความสุข แต่คืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายแล้วสินะที่เราจะได้สัมผัสบรรยากาศที่น่าหลงไหลแบบนี้ ซาปา
วันที่6 การเดินทางอันยาวไกล ( อีกแล้ว)
เราตื่นเช้ามาพร้อมกับฝน ค่อนข้างหนักครับ ผมเข้าไปกินเช้าในตลาด เลือกซื้อเสบียงติดกระเป๋าไปด้วยเพราะเค้าว่าเดินทางกันอีกไกลมาก รถที่เราไปเป็นรถตู้ Benz เลยนะครับ ที่นั่งก็ไม่ได้แออัด บนรถมีชาวต่างชาติเกือบทั้งหมด มีคนเวียดนามบ้าง และผมก็ได้ยินเสียงคนไทยคุยกัน เป็นชายสูงวัยสองคนนั่งอยู่เกือบหน้าสุด แต่ไม่ตื่นเต้นอะไร คราวที่เราอยู่ซาปาก็เจอคนไทยหลายคนเหมือนกัน แปลกครับ คนไทยที่นี่ไม่ยักกะคุยกันแฮะ เหมือนกับที่เราเจอในลาวคราวที่ไปวังเวียง รถวิ่งบนถนนเปียกๆที่ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วครับ ถึงจะมีหมอกทึบจนมองไม่เห็นวิวข้างทาง แต่เสียงแก้วหูที่ดังเปรี๊ยะๆ รู้เลยว่าตอนนี้กำลังอยู่บนยอดเขาสูง ไม่นานผมเองก็ผลอยหลับไป เมืองที่เราแวะจุดแรกคือ Lai Choa ผมว่าที่นี่แห้งแล้ง ถนนมีแต่ฝุ่น รถที่เรามาหยุดหน้าร้านขายอาหาร เหมือนเดิมครับ เกิม กลิ่นเหมือนครั้งแรกที่เราเจอ ข้างใน อับๆ มึดๆ ไม่น่ากินเท่าไหร่ เด็กรถก็บอกว่าให้ไปกินๆ ผมไม่สนหรอกและเดินไปร้านค้าข้างๆ ซื้อขนมคุ้กกี้มาหนึ่งกล่อง ก่อนรถออก เราก้อได้คุยกับคนไทยทั้งสองที่นั่งด้านหน้า อืม แวบแรกที่ได้คุย ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ผมว่าทั้งคู่ดูไม่ปรกติ เราคุยกันไม่กี่คำก็ประจำที่เดินทางต่อ เส้นทางที่เราไป ค่อยๆลึกเข้าไปในป่า บางจุดก็กำลังก่อสร้าง วิ่งผ่านสะพานแขวน ข้ามลำธาร ทิวทัศน์รอบตัวสวยมากครับ สวยกว่าบ้านเรา โดยเฉพาะภูเขา ที่อินทนนท์ว่าสูง เจอที่นี่ผมว่าห่างกันเทียบไม่ติด มันโคตรภูเขาสูงจริงๆ มีน้ำตกไหลบนหน้าผาระยะห่างไม่มาก สูง และสวยถึงแม้น้ำจะไม่ได้มากก็เหอะ เราเพลินกับวิวข้างทาง ผ่านหมู่บ้านต่างๆ จนมาถึงอีกเมืองที่คนขับจอดแวะให้เรากินข้าวกัน จนสุดท้ายปลายทางที่เรามาถึงเกือบ 5 โมงเย็น เดียนเบียนฟู เมืองแห่งประวัติศาสตร์สงคราม คราวนี้หลังจากลงรถตู้ ผมก็เดินไปซื้อตั๋วรถในวันรุ่งขึ้นเพื่อต่อไปเมืองขวาของลาว แล้วมีโอกาสได้คุยกับพี่ทั้งสองคนตอนช่วยกันเดินหาที่พักคืนนี้ บริเวณท่ารถโดยสารจะมีที่ให้นอนอยู่ สองสามแห่ง ราคาก็ไม่เบา สามร้อยกว่าบาท สภาพแย่กว่าที่เรานอนใน ซาปา แต่ช่างมันขี้เกียจเดินหาแล้ว และงานนี้ดูเหมือนว่าพี่ทั้งสองจะไม่ค่อยชอบเรา เพราะเค้ากดราคาทางโรงแรมไม่ได้อย่างที่ต้องการ และห้องที่เราได้พักมันดูกว้างและดีกว่าที่เค้าได้ ทั้งคู่เลยไปหาที่นอน guesthouse ข้างหน้าติดกันในราคาเท่ากับเราแต่สภาพแย่กว่า และไอ้ที่เค้าไปนอน มันก็เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่เราพักนั่นแหล่ะ (ราคาเท่ากัน เมิงจะเปลี่ยนที่ไปทำไมวะ ) เฮ่อ …นี่แหล่ะคนไทย ไม่รู้แม่มจะอิจฉากันหาไร
เราเก็บของเสร็จก็ออกเดินเท้าไปตามถนน อย่างแรกเลยครับ หาของกิน เรามาถึงด้านหน้าอนุเสาวรีย์ อะไรซักอย่างที่ตั้งอยู่บนยอดเขา มีบันไดทอดยาวขึ้นไป แต่เราไม่สน ตั้งหน้าตั้งตาหาของกินกัน ผมกับหลีเดินลัดเลาะไปในตลาดที่ตอนนี้ดูเงียบๆ มึดๆ อ๋อ ไฟดับครับ มันเลยดูทึมๆ น่ากลัวๆ เราซื้อส้มมาหนึ่งกิโล และแวะมากินขนมเหมือนหวานเย็นของไทย ในโต๊ะเดียวกันมีสาวเวียดนามน่ารักหลายคน ทุกคนอัธยาศัยดีครับ พยายามคุยกับเรา รู้เรื่องมั่ง งงๆกันมั่ง แต่สุดท้ายก็พอเข้าใจกันได้ ถึงผมกับหลีจะกินกันหมดไปคนละแก้วโตๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอิ่มท้องเลย งานนี้เดือดร้อนต้องออกหากินต่อ แต่ไม่มีแฮะ ยิ่งเดินไกลก็ยิ่งไม่มีอะไร เลยตัดสินใจเดินกลับ แล้วขึ้นไปบนอนุเสาวรีย์ที่เราผ่านมาตะกี๊ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ถึงบนยอดเจอพี่ไทยคู่นั้นอีกแล้ว คราวนี้ชัดเลยว่าทั้งคู่ก็ไม่ชอบเราจริงๆ เค้าไม่ทักทายเหมือนเดิม (อืม กรูก็อยากจะบอกว่า ไม่ชอบเมิงเหมือนกัน ฮ่าๆ ) เราใช้เวลาดูเมืองเดียนเบียนโดยรอบจากมุมสูงจนอาทิตย์ตกดิน แล้วก็เดินกลับที่พักด้วยท้องที่หิวโคตรๆครับ
ตกหัวค่ำมาอีกนิด เราทนหิวไม่ไหว เลยออกมาหาของกินต่อโดยใช้เส้นทางเดิม เจอทั้ง เฝอ เกิม หลายแหล่ แต่สุดท้าย มาจบที่ร้านขายของกิน ริมถนน มีเจ๊คนนึงกับรถเข็น เล็กๆ ผมเลือก บาร์เก็ต มากินแก้หิว ค่อยยังชั่วหน่อยครับ อยู่ท้องกำลังดี คราวนี้เรายังได้กินข้าวหน้าหมูทอดตบท้าย เป็นของกินแปลกๆไม่เหมือนที่เคยเจอ แต่ไงก็เอาหล่ะครับชั่วโมงนี้ ข้าวร้อนๆมันห้ามใจไม่อยู่ ถึงร้านเจ๊แกจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ขอบอกว่าไม่ผิดหวังที่ได้มานั่งกิน ราคาก็สมน้ำสมเนื้อดี
หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราก็แวะซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนม น้ำ ติดไม่ติดมือกลับไปด้วย เผื่อหิวอีก เรากลับออกมาก็เห็นร้านขายน้ำข้างทางอย่างที่เมืองฮานอย เอาวะ เลยขอนั่งชิลๆสักพักละกัน ผมกับหลีสั่งน้ำกันไปคนละแก้ว ก็เป็นน้ำมะตูมนี่แหล่ะครับ และมีขนมเหมือนของไทยเด๊ะ แต่ผมไม่รู้เรียกว่าอะไร คนขายหลังจากจัดสำรับให้เราเสร็จก็มาร่วมวงคุยกับเรา อืม เค้าอัธยาศัยก็ดีแม้พยายามสื่อสารแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจยกเว้นภาษามือที่พอจะช่วยได้บ้าง ส่วนใหญ่คนเมืองนี้ดูแปลกๆ และไม่น่าปลอดภัยเหมือนฮานอยหรือซาปาที่เราผ่านมา ผมว่า เดียนเบียนฟู ไม่น่าเที่ยวเอาซะเลย
เราตื่นเช้ามาพร้อมกับฝน ค่อนข้างหนักครับ ผมเข้าไปกินเช้าในตลาด เลือกซื้อเสบียงติดกระเป๋าไปด้วยเพราะเค้าว่าเดินทางกันอีกไกลมาก รถที่เราไปเป็นรถตู้ Benz เลยนะครับ ที่นั่งก็ไม่ได้แออัด บนรถมีชาวต่างชาติเกือบทั้งหมด มีคนเวียดนามบ้าง และผมก็ได้ยินเสียงคนไทยคุยกัน เป็นชายสูงวัยสองคนนั่งอยู่เกือบหน้าสุด แต่ไม่ตื่นเต้นอะไร คราวที่เราอยู่ซาปาก็เจอคนไทยหลายคนเหมือนกัน แปลกครับ คนไทยที่นี่ไม่ยักกะคุยกันแฮะ เหมือนกับที่เราเจอในลาวคราวที่ไปวังเวียง รถวิ่งบนถนนเปียกๆที่ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วครับ ถึงจะมีหมอกทึบจนมองไม่เห็นวิวข้างทาง แต่เสียงแก้วหูที่ดังเปรี๊ยะๆ รู้เลยว่าตอนนี้กำลังอยู่บนยอดเขาสูง ไม่นานผมเองก็ผลอยหลับไป เมืองที่เราแวะจุดแรกคือ Lai Choa ผมว่าที่นี่แห้งแล้ง ถนนมีแต่ฝุ่น รถที่เรามาหยุดหน้าร้านขายอาหาร เหมือนเดิมครับ เกิม กลิ่นเหมือนครั้งแรกที่เราเจอ ข้างใน อับๆ มึดๆ ไม่น่ากินเท่าไหร่ เด็กรถก็บอกว่าให้ไปกินๆ ผมไม่สนหรอกและเดินไปร้านค้าข้างๆ ซื้อขนมคุ้กกี้มาหนึ่งกล่อง ก่อนรถออก เราก้อได้คุยกับคนไทยทั้งสองที่นั่งด้านหน้า อืม แวบแรกที่ได้คุย ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ผมว่าทั้งคู่ดูไม่ปรกติ เราคุยกันไม่กี่คำก็ประจำที่เดินทางต่อ เส้นทางที่เราไป ค่อยๆลึกเข้าไปในป่า บางจุดก็กำลังก่อสร้าง วิ่งผ่านสะพานแขวน ข้ามลำธาร ทิวทัศน์รอบตัวสวยมากครับ สวยกว่าบ้านเรา โดยเฉพาะภูเขา ที่อินทนนท์ว่าสูง เจอที่นี่ผมว่าห่างกันเทียบไม่ติด มันโคตรภูเขาสูงจริงๆ มีน้ำตกไหลบนหน้าผาระยะห่างไม่มาก สูง และสวยถึงแม้น้ำจะไม่ได้มากก็เหอะ เราเพลินกับวิวข้างทาง ผ่านหมู่บ้านต่างๆ จนมาถึงอีกเมืองที่คนขับจอดแวะให้เรากินข้าวกัน จนสุดท้ายปลายทางที่เรามาถึงเกือบ 5 โมงเย็น เดียนเบียนฟู เมืองแห่งประวัติศาสตร์สงคราม คราวนี้หลังจากลงรถตู้ ผมก็เดินไปซื้อตั๋วรถในวันรุ่งขึ้นเพื่อต่อไปเมืองขวาของลาว แล้วมีโอกาสได้คุยกับพี่ทั้งสองคนตอนช่วยกันเดินหาที่พักคืนนี้ บริเวณท่ารถโดยสารจะมีที่ให้นอนอยู่ สองสามแห่ง ราคาก็ไม่เบา สามร้อยกว่าบาท สภาพแย่กว่าที่เรานอนใน ซาปา แต่ช่างมันขี้เกียจเดินหาแล้ว และงานนี้ดูเหมือนว่าพี่ทั้งสองจะไม่ค่อยชอบเรา เพราะเค้ากดราคาทางโรงแรมไม่ได้อย่างที่ต้องการ และห้องที่เราได้พักมันดูกว้างและดีกว่าที่เค้าได้ ทั้งคู่เลยไปหาที่นอน guesthouse ข้างหน้าติดกันในราคาเท่ากับเราแต่สภาพแย่กว่า และไอ้ที่เค้าไปนอน มันก็เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่เราพักนั่นแหล่ะ (ราคาเท่ากัน เมิงจะเปลี่ยนที่ไปทำไมวะ ) เฮ่อ …นี่แหล่ะคนไทย ไม่รู้แม่มจะอิจฉากันหาไร
เราเก็บของเสร็จก็ออกเดินเท้าไปตามถนน อย่างแรกเลยครับ หาของกิน เรามาถึงด้านหน้าอนุเสาวรีย์ อะไรซักอย่างที่ตั้งอยู่บนยอดเขา มีบันไดทอดยาวขึ้นไป แต่เราไม่สน ตั้งหน้าตั้งตาหาของกินกัน ผมกับหลีเดินลัดเลาะไปในตลาดที่ตอนนี้ดูเงียบๆ มึดๆ อ๋อ ไฟดับครับ มันเลยดูทึมๆ น่ากลัวๆ เราซื้อส้มมาหนึ่งกิโล และแวะมากินขนมเหมือนหวานเย็นของไทย ในโต๊ะเดียวกันมีสาวเวียดนามน่ารักหลายคน ทุกคนอัธยาศัยดีครับ พยายามคุยกับเรา รู้เรื่องมั่ง งงๆกันมั่ง แต่สุดท้ายก็พอเข้าใจกันได้ ถึงผมกับหลีจะกินกันหมดไปคนละแก้วโตๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอิ่มท้องเลย งานนี้เดือดร้อนต้องออกหากินต่อ แต่ไม่มีแฮะ ยิ่งเดินไกลก็ยิ่งไม่มีอะไร เลยตัดสินใจเดินกลับ แล้วขึ้นไปบนอนุเสาวรีย์ที่เราผ่านมาตะกี๊ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ถึงบนยอดเจอพี่ไทยคู่นั้นอีกแล้ว คราวนี้ชัดเลยว่าทั้งคู่ก็ไม่ชอบเราจริงๆ เค้าไม่ทักทายเหมือนเดิม (อืม กรูก็อยากจะบอกว่า ไม่ชอบเมิงเหมือนกัน ฮ่าๆ ) เราใช้เวลาดูเมืองเดียนเบียนโดยรอบจากมุมสูงจนอาทิตย์ตกดิน แล้วก็เดินกลับที่พักด้วยท้องที่หิวโคตรๆครับ
ตกหัวค่ำมาอีกนิด เราทนหิวไม่ไหว เลยออกมาหาของกินต่อโดยใช้เส้นทางเดิม เจอทั้ง เฝอ เกิม หลายแหล่ แต่สุดท้าย มาจบที่ร้านขายของกิน ริมถนน มีเจ๊คนนึงกับรถเข็น เล็กๆ ผมเลือก บาร์เก็ต มากินแก้หิว ค่อยยังชั่วหน่อยครับ อยู่ท้องกำลังดี คราวนี้เรายังได้กินข้าวหน้าหมูทอดตบท้าย เป็นของกินแปลกๆไม่เหมือนที่เคยเจอ แต่ไงก็เอาหล่ะครับชั่วโมงนี้ ข้าวร้อนๆมันห้ามใจไม่อยู่ ถึงร้านเจ๊แกจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ขอบอกว่าไม่ผิดหวังที่ได้มานั่งกิน ราคาก็สมน้ำสมเนื้อดี
หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราก็แวะซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนม น้ำ ติดไม่ติดมือกลับไปด้วย เผื่อหิวอีก เรากลับออกมาก็เห็นร้านขายน้ำข้างทางอย่างที่เมืองฮานอย เอาวะ เลยขอนั่งชิลๆสักพักละกัน ผมกับหลีสั่งน้ำกันไปคนละแก้ว ก็เป็นน้ำมะตูมนี่แหล่ะครับ และมีขนมเหมือนของไทยเด๊ะ แต่ผมไม่รู้เรียกว่าอะไร คนขายหลังจากจัดสำรับให้เราเสร็จก็มาร่วมวงคุยกับเรา อืม เค้าอัธยาศัยก็ดีแม้พยายามสื่อสารแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจยกเว้นภาษามือที่พอจะช่วยได้บ้าง ส่วนใหญ่คนเมืองนี้ดูแปลกๆ และไม่น่าปลอดภัยเหมือนฮานอยหรือซาปาที่เราผ่านมา ผมว่า เดียนเบียนฟู ไม่น่าเที่ยวเอาซะเลย
วันที่ 7 ไม่เอาอีกแล้ว
เราตื่นแต่ตีห้าเพื่อมาเตรียมตัวขึ้นรถที่ท่า รถที่ไปเป็นรถมินิบัสขนาดกลางๆ มีของเต็มหลังคารถ ผู้โดยสารก็เต็ม เพื่อนฝรั่งที่เดินทางมากะเราอยู่กันครบ รวมไปถึงพ่อเจ้าประคุณคนไทยทั้งคู่ มีที่นั่งเสริมเหมือนตอนที่เรามา รถวิ่งผ่านหมู่บ้านต่างๆกลางป่า มันเป็นป่าจริงๆนะครับ คือมีทั้งลุยลำธาร ขึ้นเขาสูง บางทีเส้นทางก็ไม่เป็นถนน เค้ากำลังทำกันอยู่ และส่วนใหญ่เราจะวิ่งอยู่บนไหล่เขาเล็กๆพอรถวิ่งได้คันเดียว มีเหวลึกขนาบเราไปเกือบตลอด เรียกว่าพลาดไม่ได้ ไม่พอนะครับ บางจุดเหมือนกับว่าพายุเพิ่งจะถล่ม มีทั้งไหล่เขาที่มีร่องรอยของต้นไม้ใหญ่ถูกพายุพัดไหลลงไปกองอยู่ตามหน้าผา หมู่บ้านบางแห่งถูกพายุพัดเอาหลังคาบ้านหายไป ถนนดินก็ลื่นเฉอะแฉะ ผมละกลัวจริงๆครับ เกิดจังหวะไหนมันไถลออกข้างลงเหวไปนี่ ดูจากความสูง ไม่น่ารอดครับ และลงไปใครจะรู้ รถวิ่งผ่านยังไม่ค่อยจะมีเลย แล้วที่ผมกลัวก็เป็นจริง จังหวะนึง รถวิ่งลื่นไถลเข้าไปฝั่งหน้าผา แล้วก็เอาหัวปักทิ่มติดหล่มอยู่อย่างนั้น แต่ล้อหลังยังคงหมุนได้ ไอ้คนขับมันก็พยายามดิ้นนะครับ ทั้งที่ข้างๆเป็นเหวลึก มันพยายามขับเดินหน้าถอยหลัง จนท้ายรถเริ่มตีวงออกไปหาขอบทางข้างเหว คราวนี้ผมไม่ไหว เลยตะโกนออกไปดังๆ stop stop stop นี่ถ้ามันฟังไทยได้ ผมจะด่าให้ฟังซะเลย ฮ่าๆ มันเชื่อครับ หยุดรถ แล้วเด็กรถก็ถือพลั่วขุดดินที่เตรียมมา ส่วนผู้โดยสารทุกคนลงรถ พวกผู้หญิงเดินไปตามทางแฉะๆ แล้วหายไปในโค้งข้างหน้า ผมออกมายืนสูดอากาศข้างนอกไม่นาน เด็กรถก็เอาเชือกผูกที่กันชนรถ แล้วเรียกพวกเราเข้าไปดึงพร้อมกับคนขับเร่งเครื่องช่วยอีกแรง อึดใจเดียวเท่านั้น รถก็ดิ้นหลุดจากหล่ม แล้ววิ่งตุปัดตุเป๋ ไหลไปตามทางแฉะๆ แล้วมันก็ขับหายไปเลยครับ พวกเราเดินตามกันไป พอพ้นโค้งก็เห็นด่านข้ามแดน Soph Houn อยู่ข้างหน้าห่างไปไม่ถึง 300 เมตรเองครับ ผมโล่งใจและเดินตามไป ตอนนี้ใต้ตีนเราเต็มไปด้วยโคลนภูเขาแดงๆเกาะหนาปั้ก ผมเดินมาถึงบริเวณด่านที่ลาดปูนก็โล่งใจ รู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะ เฮ่อ!! เกือบเอาชีวิตมาทิ้งซะแล้ว
เราจัดการเอกสารเสร็จก็มายืนรอคนอื่นๆตรงลานกว้าง อากาศยังคงหนาวเย็น และรู้เลยว่าที่นี่สูงมาก ตลอดเวลาจะมีเมฆลอยผ่านเราไปเป็นระยะ บวกกับความแรงของลมแล้วความเย็นยิ่งทวีคูน จนบางจังหวะผมพยายามมองหาที่กำบังแต่ไม่มี ก่อนออกมาจากหน้าด่าน ผมถามเจ้าหน้าที่ว่าเส้นทางต่อไปจากนี้เป็นไงบ้าง เค้าบอกกลับมาว่า เส้นทางดี ผมยิ่งรู้สึกโล่งใจขึ้นไปอีกโข แต่ไม่งั้นสิครับ เพราะหลังออกจากด่านมาได้ไม่นาน ถนนเริ่มแย่ลงๆ และ แย่กว่าที่เราเจอมาก่อนหน้านี้อีก โรคกลัวความสูงแล้วต้องมาไต่อยู่ริมขอบเหวตลอดเส้นทางอย่างนี้ หัวใจผมเต้นแรง เหงื่อออกมือตลอดเวลา คิดไม่ออกว่าทำไงดี หลับเลยดีกว่า เลยตัดสินใจพยายามข่มตานอนไม่อยากเห็นภาพทรมาณใจอีก และผมก็หลับๆตื่นๆอยู่อย่างนั้นแหล่ะครับ ผ่านมาจนถึงจุดหมายปลายทาง เมืองขวา ด้านหน้าเป็นลำธารไม่กว้างมากประมาณ 10 เมตร มีแพขนานยนต์รบจ้างพารถและคนข้ามไป คือจากระยะขอบแพไปถึงฝั่งเดินไม่ถึงห้าก้าวก็ถึงแล้วครับ ไม่รู้มันจะทำแพไปทำไม ผมว่าทำสะพานก็ลงทุนไม่ได้มาก แต่อย่างว่าพอมาถึงประเทศลาวกลิ่นเงินก็โชยอยู่ทั่วไปหมด รถหยุดลงทุกคนบนรถออกมาข้างล่าง ผมได้ยืนคุยกับเพื่อนเดินทางต่างชาติแล้วทุกคนไปหลวงพระบางเหมือนกับผม เลยอาสาที่จะช่วยเรื่องการหารถ และพูดคุยสื่อสารกับคนลาวให้ จนบางคนคิดว่าผมเป็นคนลาวซะงั้น เค้าคงเห็นผมคุยกับคนลาวรู้เรื่องมั้ง พอแพข้ามมาถึงอีกฝั่งก็มีคนขับรถตู้เข้ามาคุยและเสนอราคาที่จะไปหลวงพระบางตกหัวละเจ็ดร้อยบาท พอคำนวนแล้วตกเกือบ 6000 บาท พอผมต่อรองราคาไม่เป็นผล เลยตัดสินใจพาทั้งกลุ่มเดินออกมาจากท่าเรือแล้วมุ่งหน้าไปท่ารถโดยสารที่ห่างออกไปอีก 2 กิโลเมตร ผมหารถสองแถวเล็กที่รับจ้างพาเราไปส่งได้ในราคาคนละ 10000 กีบ เลยบอกกับทุกคน แต่ดันมีสองคนบอกว่ามันแพงไปสำหรับระยะทาง 2 กิโลเมตร ผมออกไปช่วยเจ้าของรถเข็นเพื่อสตาร์ทเพราะมันไม่ได้ขับมานานจนไฟหมด พอกลับมาเพื่อนต่างชาติสองคนนั่นก็ออกเดินไปตามทางซะแล้ว ตอนนี้เลยเหลือแค่หกคน รถวิ่งมาได้ไม่นานก็ถึงท่ารถที่จะวิ่งจากเมืองขวาไปแขวงอุดมไชย ตอนที่หลีกำลังจ่ายเงิน คนขับรถตู้ที่เจอตรงแพขนานยนต์ก็ตามมาและพยายามชักชวนให้เราไปกับเค้า โดยลดราคาลงให้อีกเยอะ แต่ผมก็เลือกที่จะไปรถโดยสารแทน ตอนนี้ฝนเริ่มตกหนัก ผมหันไปมองตามทางที่ผ่านมามองหาฝรั่งสองตัวที่เดินแทนเสียเงินค่ารถ ป่านนี้เค้าคงเดินลุยฝนอยู่แน่ๆ แต่ก็ลุ้นให้มาทันรถเที่ยวสุดท้ายนี้ ผมเกิดรำคาญคนไทยทั้งคู่ที่คอยแต่เซ้าซี๊ถามอะไรไร้สาระกับคนขายตั๋วต่างๆนานา โดยไม่สนใจว่ามีคนรอคิวซื้อตั๋วอีกเป็นพรวน กว่าผมจะได้ซื้อตั๋วก็เกือบสิบนาที ก่อนรถจะออกจากสถานี ผมยังมองหาฝรั่งสองคนนั้น แต่แล้วก็ไม่เห็นวี่แววของคนทั้งคู่ น่าสงสารจริงๆ เฮ่อ!!! รถออกจากท่าลัดเลาะมาตามทางกลางหุบเขาเหมือนเดิมแต่ดีกว่าที่ผ่านมาเยอะเลยเพราะถนนลาดยางตลอด ผมอุ่นใจถึงรถจะขับเร็วก็เถอะ ระหว่างทางรถได้จอดเพื่อส่งคนไทยน่ารำคาญทั้งคู่ลงเพื่อต่อรถไปพงสาลี เราไม่ได้ร่ำลาอะไรกัน ได้แต่ร้องเพลงในใจครับ “ ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์ “ อิๆ (ลืมบอกไปครับ ผมรู้สึกลึกๆว่า เค้าเป็นคู่เกย์กัน อื้มม จริงๆนะ )
รถเดินทางมาจนถึงแขวงอุดมไชยช่วงเย็นแก่ๆ เราได้รถที่จะวิ่งไปหลวงพระบางแล้วครับ ตอนนี้ในเมืองที่มีขนาดใหญ่พอควรกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดี มีวัยรุ่นตั้งกลุ่มเล่นน้ำกันอยู่ตลอดทาง แต่มารยาทดีกว่าบ้านเราครับไม่มีการสาดน้ำใส่รถที่วิ่งผ่านไปมา บางกลุ่มก็น่ารักนะครับ ใส่เสื้อเหมือนกันทั้งกลุ่ม ดื่มกินกันเมาแต่ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรให้เห็นเลยครับ บางชุดก็เดินผ่านรถของเราโดยมีเณรปะปนมาบ้าง มีขบวนเครื่องดนตรีจำพวกกลองยาว เครื่องเคาะต่างๆ เพื่อแวะเวียนไปเล่นน้ำกับกลุ่มคนที่ตั้งท่ารออยู่ริมทาง ดูแล้วน่ารักดี ผมอยากให้คนไทยมาเห็นแล้วนำกลับมาใช้ในบ้านเรา ไม่ใช่เล่นกันแบบชั่วๆตามถนนทุกวันนี้ ที่มีทั้งน้ำแข็ง น้ำครำ น้ำเน่า น้ำเย็นเจี๊ยบ เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงๆ หรือไล่ตีไล่ต่อยกันในวันเทศกาล ที่นี่ดูดีกว่าเยอะ
บนรถที่เรามุ่งหน้าไปหลางพระบางนั้นคราวนี้ผมได้ลิ้มรสชาติของเก้าอี้สำรองตลอดทางครับ อืม!!! ทรมาณดีเหมือนกัน มองวิวข้างทางไม่น่าดูเท่าไหร่ ชาวบ้านที่นี่จะเผาภูเขาทั้งลูกเลยนะครับ บางลูกขนาดใหญ่มากโดนเผาจนเหลือแต่ตอ และพืชที่เค้าเอามาปลูกแทนก็เป็นจำพวกกล้วย ผมละเศร้าใจแทน เราเฝ้ามองความรู้เท่าไม่ถึงการของชาวนาชาวไร่ที่นี่ที่คงไม่มีการส่งเสริมความรู้ในการทำเกษตรกรรม และผลกระทบของการเผาป่าที่จะตามมาแน่ๆอีกไม่นานความเสียดาย
ฟ้ามึดลงแล้วครับ ผมก็ได้แต่อาศัยหลีที่จะพอให้ได้พิง ให้ได้นอนหลับอิงซบบ้าง วันนี้หมอกลงจัดแต่ว่าคนขับชำนานเส้นทาง วิ่งเลาะตามโค้งด้วยความเร็วสูงพอสมควร จะให้ชำนาญแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ผมหายเสียวเวลาที่วิ่งผ่านสายหมอกหนาๆตามหุบเขาได้เลย อากาศเย็นและปะปนด้วยกลิ่นไหม้ของป่าไม้ที่โดนเผา เสียงเครื่องยนต์หน้ารถดังลั่นตลอดทาง เราทั้งคู่หลับๆตื่นๆจนมาถึงหลวงพระบางตอนประมาณเที่ยงคืน เงียบกริบเลยครับ มีแต่รถสามล้อไม่กี่คันที่ดักรอผู้โดยสารอยู่ที่ท่า ผมลงรถพร้อมเพื่อนต่างชาติที่เหลืออีกสองคนที่เป็นผู้หญิง เพราะก่อนหน้านี้บางคนเลือกที่จะลงแวะอุดมไชย เราเช่ารถมาจอดใกล้ๆบริเวณสี่แยกตลาดเช้า และออกเดินหาที่พักจนได้ในราคาไม่แพง ห้องสะอาดมาก มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น แอร์ มาตรฐานดีกว่าเวียดนามเยอะ คืนนั้นเรานอนหลับพักผ่อนกันต็มที่หลังจากเหนื่อยกับการเดินทางหฤโหดแบบวันนี้ และคิดในใจ ถ้าถนนมันยังไม่เสร็จ อย่าได้หวังว่าผมจะมาเส้นทางนี้อีกแล้ว ให้ตายเหอะ
เราตื่นแต่ตีห้าเพื่อมาเตรียมตัวขึ้นรถที่ท่า รถที่ไปเป็นรถมินิบัสขนาดกลางๆ มีของเต็มหลังคารถ ผู้โดยสารก็เต็ม เพื่อนฝรั่งที่เดินทางมากะเราอยู่กันครบ รวมไปถึงพ่อเจ้าประคุณคนไทยทั้งคู่ มีที่นั่งเสริมเหมือนตอนที่เรามา รถวิ่งผ่านหมู่บ้านต่างๆกลางป่า มันเป็นป่าจริงๆนะครับ คือมีทั้งลุยลำธาร ขึ้นเขาสูง บางทีเส้นทางก็ไม่เป็นถนน เค้ากำลังทำกันอยู่ และส่วนใหญ่เราจะวิ่งอยู่บนไหล่เขาเล็กๆพอรถวิ่งได้คันเดียว มีเหวลึกขนาบเราไปเกือบตลอด เรียกว่าพลาดไม่ได้ ไม่พอนะครับ บางจุดเหมือนกับว่าพายุเพิ่งจะถล่ม มีทั้งไหล่เขาที่มีร่องรอยของต้นไม้ใหญ่ถูกพายุพัดไหลลงไปกองอยู่ตามหน้าผา หมู่บ้านบางแห่งถูกพายุพัดเอาหลังคาบ้านหายไป ถนนดินก็ลื่นเฉอะแฉะ ผมละกลัวจริงๆครับ เกิดจังหวะไหนมันไถลออกข้างลงเหวไปนี่ ดูจากความสูง ไม่น่ารอดครับ และลงไปใครจะรู้ รถวิ่งผ่านยังไม่ค่อยจะมีเลย แล้วที่ผมกลัวก็เป็นจริง จังหวะนึง รถวิ่งลื่นไถลเข้าไปฝั่งหน้าผา แล้วก็เอาหัวปักทิ่มติดหล่มอยู่อย่างนั้น แต่ล้อหลังยังคงหมุนได้ ไอ้คนขับมันก็พยายามดิ้นนะครับ ทั้งที่ข้างๆเป็นเหวลึก มันพยายามขับเดินหน้าถอยหลัง จนท้ายรถเริ่มตีวงออกไปหาขอบทางข้างเหว คราวนี้ผมไม่ไหว เลยตะโกนออกไปดังๆ stop stop stop นี่ถ้ามันฟังไทยได้ ผมจะด่าให้ฟังซะเลย ฮ่าๆ มันเชื่อครับ หยุดรถ แล้วเด็กรถก็ถือพลั่วขุดดินที่เตรียมมา ส่วนผู้โดยสารทุกคนลงรถ พวกผู้หญิงเดินไปตามทางแฉะๆ แล้วหายไปในโค้งข้างหน้า ผมออกมายืนสูดอากาศข้างนอกไม่นาน เด็กรถก็เอาเชือกผูกที่กันชนรถ แล้วเรียกพวกเราเข้าไปดึงพร้อมกับคนขับเร่งเครื่องช่วยอีกแรง อึดใจเดียวเท่านั้น รถก็ดิ้นหลุดจากหล่ม แล้ววิ่งตุปัดตุเป๋ ไหลไปตามทางแฉะๆ แล้วมันก็ขับหายไปเลยครับ พวกเราเดินตามกันไป พอพ้นโค้งก็เห็นด่านข้ามแดน Soph Houn อยู่ข้างหน้าห่างไปไม่ถึง 300 เมตรเองครับ ผมโล่งใจและเดินตามไป ตอนนี้ใต้ตีนเราเต็มไปด้วยโคลนภูเขาแดงๆเกาะหนาปั้ก ผมเดินมาถึงบริเวณด่านที่ลาดปูนก็โล่งใจ รู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะ เฮ่อ!! เกือบเอาชีวิตมาทิ้งซะแล้ว
เราจัดการเอกสารเสร็จก็มายืนรอคนอื่นๆตรงลานกว้าง อากาศยังคงหนาวเย็น และรู้เลยว่าที่นี่สูงมาก ตลอดเวลาจะมีเมฆลอยผ่านเราไปเป็นระยะ บวกกับความแรงของลมแล้วความเย็นยิ่งทวีคูน จนบางจังหวะผมพยายามมองหาที่กำบังแต่ไม่มี ก่อนออกมาจากหน้าด่าน ผมถามเจ้าหน้าที่ว่าเส้นทางต่อไปจากนี้เป็นไงบ้าง เค้าบอกกลับมาว่า เส้นทางดี ผมยิ่งรู้สึกโล่งใจขึ้นไปอีกโข แต่ไม่งั้นสิครับ เพราะหลังออกจากด่านมาได้ไม่นาน ถนนเริ่มแย่ลงๆ และ แย่กว่าที่เราเจอมาก่อนหน้านี้อีก โรคกลัวความสูงแล้วต้องมาไต่อยู่ริมขอบเหวตลอดเส้นทางอย่างนี้ หัวใจผมเต้นแรง เหงื่อออกมือตลอดเวลา คิดไม่ออกว่าทำไงดี หลับเลยดีกว่า เลยตัดสินใจพยายามข่มตานอนไม่อยากเห็นภาพทรมาณใจอีก และผมก็หลับๆตื่นๆอยู่อย่างนั้นแหล่ะครับ ผ่านมาจนถึงจุดหมายปลายทาง เมืองขวา ด้านหน้าเป็นลำธารไม่กว้างมากประมาณ 10 เมตร มีแพขนานยนต์รบจ้างพารถและคนข้ามไป คือจากระยะขอบแพไปถึงฝั่งเดินไม่ถึงห้าก้าวก็ถึงแล้วครับ ไม่รู้มันจะทำแพไปทำไม ผมว่าทำสะพานก็ลงทุนไม่ได้มาก แต่อย่างว่าพอมาถึงประเทศลาวกลิ่นเงินก็โชยอยู่ทั่วไปหมด รถหยุดลงทุกคนบนรถออกมาข้างล่าง ผมได้ยืนคุยกับเพื่อนเดินทางต่างชาติแล้วทุกคนไปหลวงพระบางเหมือนกับผม เลยอาสาที่จะช่วยเรื่องการหารถ และพูดคุยสื่อสารกับคนลาวให้ จนบางคนคิดว่าผมเป็นคนลาวซะงั้น เค้าคงเห็นผมคุยกับคนลาวรู้เรื่องมั้ง พอแพข้ามมาถึงอีกฝั่งก็มีคนขับรถตู้เข้ามาคุยและเสนอราคาที่จะไปหลวงพระบางตกหัวละเจ็ดร้อยบาท พอคำนวนแล้วตกเกือบ 6000 บาท พอผมต่อรองราคาไม่เป็นผล เลยตัดสินใจพาทั้งกลุ่มเดินออกมาจากท่าเรือแล้วมุ่งหน้าไปท่ารถโดยสารที่ห่างออกไปอีก 2 กิโลเมตร ผมหารถสองแถวเล็กที่รับจ้างพาเราไปส่งได้ในราคาคนละ 10000 กีบ เลยบอกกับทุกคน แต่ดันมีสองคนบอกว่ามันแพงไปสำหรับระยะทาง 2 กิโลเมตร ผมออกไปช่วยเจ้าของรถเข็นเพื่อสตาร์ทเพราะมันไม่ได้ขับมานานจนไฟหมด พอกลับมาเพื่อนต่างชาติสองคนนั่นก็ออกเดินไปตามทางซะแล้ว ตอนนี้เลยเหลือแค่หกคน รถวิ่งมาได้ไม่นานก็ถึงท่ารถที่จะวิ่งจากเมืองขวาไปแขวงอุดมไชย ตอนที่หลีกำลังจ่ายเงิน คนขับรถตู้ที่เจอตรงแพขนานยนต์ก็ตามมาและพยายามชักชวนให้เราไปกับเค้า โดยลดราคาลงให้อีกเยอะ แต่ผมก็เลือกที่จะไปรถโดยสารแทน ตอนนี้ฝนเริ่มตกหนัก ผมหันไปมองตามทางที่ผ่านมามองหาฝรั่งสองตัวที่เดินแทนเสียเงินค่ารถ ป่านนี้เค้าคงเดินลุยฝนอยู่แน่ๆ แต่ก็ลุ้นให้มาทันรถเที่ยวสุดท้ายนี้ ผมเกิดรำคาญคนไทยทั้งคู่ที่คอยแต่เซ้าซี๊ถามอะไรไร้สาระกับคนขายตั๋วต่างๆนานา โดยไม่สนใจว่ามีคนรอคิวซื้อตั๋วอีกเป็นพรวน กว่าผมจะได้ซื้อตั๋วก็เกือบสิบนาที ก่อนรถจะออกจากสถานี ผมยังมองหาฝรั่งสองคนนั้น แต่แล้วก็ไม่เห็นวี่แววของคนทั้งคู่ น่าสงสารจริงๆ เฮ่อ!!! รถออกจากท่าลัดเลาะมาตามทางกลางหุบเขาเหมือนเดิมแต่ดีกว่าที่ผ่านมาเยอะเลยเพราะถนนลาดยางตลอด ผมอุ่นใจถึงรถจะขับเร็วก็เถอะ ระหว่างทางรถได้จอดเพื่อส่งคนไทยน่ารำคาญทั้งคู่ลงเพื่อต่อรถไปพงสาลี เราไม่ได้ร่ำลาอะไรกัน ได้แต่ร้องเพลงในใจครับ “ ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์ “ อิๆ (ลืมบอกไปครับ ผมรู้สึกลึกๆว่า เค้าเป็นคู่เกย์กัน อื้มม จริงๆนะ )
รถเดินทางมาจนถึงแขวงอุดมไชยช่วงเย็นแก่ๆ เราได้รถที่จะวิ่งไปหลวงพระบางแล้วครับ ตอนนี้ในเมืองที่มีขนาดใหญ่พอควรกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดี มีวัยรุ่นตั้งกลุ่มเล่นน้ำกันอยู่ตลอดทาง แต่มารยาทดีกว่าบ้านเราครับไม่มีการสาดน้ำใส่รถที่วิ่งผ่านไปมา บางกลุ่มก็น่ารักนะครับ ใส่เสื้อเหมือนกันทั้งกลุ่ม ดื่มกินกันเมาแต่ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรให้เห็นเลยครับ บางชุดก็เดินผ่านรถของเราโดยมีเณรปะปนมาบ้าง มีขบวนเครื่องดนตรีจำพวกกลองยาว เครื่องเคาะต่างๆ เพื่อแวะเวียนไปเล่นน้ำกับกลุ่มคนที่ตั้งท่ารออยู่ริมทาง ดูแล้วน่ารักดี ผมอยากให้คนไทยมาเห็นแล้วนำกลับมาใช้ในบ้านเรา ไม่ใช่เล่นกันแบบชั่วๆตามถนนทุกวันนี้ ที่มีทั้งน้ำแข็ง น้ำครำ น้ำเน่า น้ำเย็นเจี๊ยบ เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงๆ หรือไล่ตีไล่ต่อยกันในวันเทศกาล ที่นี่ดูดีกว่าเยอะ
บนรถที่เรามุ่งหน้าไปหลางพระบางนั้นคราวนี้ผมได้ลิ้มรสชาติของเก้าอี้สำรองตลอดทางครับ อืม!!! ทรมาณดีเหมือนกัน มองวิวข้างทางไม่น่าดูเท่าไหร่ ชาวบ้านที่นี่จะเผาภูเขาทั้งลูกเลยนะครับ บางลูกขนาดใหญ่มากโดนเผาจนเหลือแต่ตอ และพืชที่เค้าเอามาปลูกแทนก็เป็นจำพวกกล้วย ผมละเศร้าใจแทน เราเฝ้ามองความรู้เท่าไม่ถึงการของชาวนาชาวไร่ที่นี่ที่คงไม่มีการส่งเสริมความรู้ในการทำเกษตรกรรม และผลกระทบของการเผาป่าที่จะตามมาแน่ๆอีกไม่นานความเสียดาย
ฟ้ามึดลงแล้วครับ ผมก็ได้แต่อาศัยหลีที่จะพอให้ได้พิง ให้ได้นอนหลับอิงซบบ้าง วันนี้หมอกลงจัดแต่ว่าคนขับชำนานเส้นทาง วิ่งเลาะตามโค้งด้วยความเร็วสูงพอสมควร จะให้ชำนาญแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ผมหายเสียวเวลาที่วิ่งผ่านสายหมอกหนาๆตามหุบเขาได้เลย อากาศเย็นและปะปนด้วยกลิ่นไหม้ของป่าไม้ที่โดนเผา เสียงเครื่องยนต์หน้ารถดังลั่นตลอดทาง เราทั้งคู่หลับๆตื่นๆจนมาถึงหลวงพระบางตอนประมาณเที่ยงคืน เงียบกริบเลยครับ มีแต่รถสามล้อไม่กี่คันที่ดักรอผู้โดยสารอยู่ที่ท่า ผมลงรถพร้อมเพื่อนต่างชาติที่เหลืออีกสองคนที่เป็นผู้หญิง เพราะก่อนหน้านี้บางคนเลือกที่จะลงแวะอุดมไชย เราเช่ารถมาจอดใกล้ๆบริเวณสี่แยกตลาดเช้า และออกเดินหาที่พักจนได้ในราคาไม่แพง ห้องสะอาดมาก มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น แอร์ มาตรฐานดีกว่าเวียดนามเยอะ คืนนั้นเรานอนหลับพักผ่อนกันต็มที่หลังจากเหนื่อยกับการเดินทางหฤโหดแบบวันนี้ และคิดในใจ ถ้าถนนมันยังไม่เสร็จ อย่าได้หวังว่าผมจะมาเส้นทางนี้อีกแล้ว ให้ตายเหอะ
วันที่ 8 ปีใหม่ หลวงพระบาง
เราตื่นแต่เช้า อาบน้ำอาบท่าเสร็จผมก็อาสาเป็นไกด์พาหลีไปแวะชิมกาแฟประชานิยมอันขึ้นชื่อของหลวงพระบาง แล้วยังพาเดินตลาดเช้า ดูวิถีชาวบ้านที่นี่ และมาเช่ารถจักยานเพื่อปั่นไปท่ารถจองตั๋วกลับเวียงจันทน์วันนี้ ในร้านยังรับแลกเงินด้วยนะครับ แนะนำเลยว่าให้ไปที่ร้าน ทันสะมัย มินิมาร์ท อยู่ตรงข้ามกับ กาดดารา ลองไปถามหาดูนะครับ แลกได้เรทดีกว่าธนาคารเยอะเลย เราปั่นรถเรื่อยไปจนถึงสถานีขนส่ง แต่ปรากฎว่าไม่สามารถจองได้ ต้องให้เราโทรไปสอบถามเอาเองตอนประมาณ 3 โมงเย็นด้วยเหตุผลทำนองว่าวันนี้คนเดินทางเยอะ จึงไม่มีรถออกตามเวลาแน่นอน แต่อาจจะมีรถเสริม และให้เราโทรมาถามเอาเอง หลังจากนั้นเราเลือกที่จะปั่นเข้าไปกลางเมือง จนมาเจอประเพณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนหลวงพระบางคือ การแห่ พระบาง ที่จะมีขึ้นเพียงปีละครั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่สงกรานต์ นี่ก็ถือว่าเป็นช่วงจังหวะพอดีที่ได้เห็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมายาวนานของเมืองนี้ คนเยอะครับ รอบๆมีทั้งคนหนุ่มคนสาวแต่งตัวชุดผ้าซิ่นสไบเฉียงเข้าพิธี มีตากล้อง คอยกดชัตเตอร์เก็บภาพตลอดรอบบริเวณ อากาศเริ่มร้อน ผมเข้าไปดูพิธีได้ไม่นาน และดูไม่ถนัดเท่าไหร่ เลยเลือกที่จะออกมาปั่นรถพาหลีเที่ยวรอบๆเมืองต่อ แล้วยอมแพ้กับอากาศร้อนอบอ้าว เลยตัดสินใจกลับเข้าที่พัก เก็บของ เช็คเอาท์แล้วนำกระเป๋าลงมาฝากไว้ข้างล่างก่อนจะเอารถจักรยานไปคืน
ช่วงบ่ายวันนั้นที่เรายังพอมีเวลาเหลือ เราเลือกใช้วิธีการเดินรอบเมืองแทน แวะกินเฝอ บาร์แกต เป็นมื้อเที่ยง เวลาวันนี้ผ่านไปรวดเร็วไม่นานก็ถึงเวลาที่ต้องกลับที่พักแล้วรบกวนทาง guesthouse โทรศัพท์ไปขนส่งสอบถามเรื่องตั๋วเดินทาง (ที่นี่ไม่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะครับ ถึงมีก็ไม่มีเหรียญให้คุณหยอด จะโทรไปไหนมีสองวิธี คือ ซื้อซิมโทรศัพท์ และก็รบกวนให้คนอื่นโทรให้) หลังจากรู้ว่าตอนนี้มาซื้อตั๋วขึ้นรถได้เลยผมก็เหมารถสามล้อมาส่งที่สายใต้ ราคาค่าตั๋วประมาณ 500 บาท วันนี้ผมได้กลับมานั่งบนเบาะนุ่มๆเหมือนเดิม ค่อยยังชั่วหน่อย
คืนนี้เราอาศัยรถเมล์เป็นที่นอนอีกครั้งตลอดทาง รถมาถึงเวียงจันทน์ตอนประมาณ ตีห้า แล้วต่อรถสองแถวมาตลาดเช้าที่ตอนนี้ยังเปิดอยู่ มีแต่รถสามล้อที่รอรับคนอยู่ไม่กี่คัน มีคนลาวมารอเข้าไปในขนส่งอยู่ริมทาง เราเดินวนไปมาสองรอบจนสรุปได้ว่า จะหาที่พักนอนก่อนแล้วค่อยตื่นเช้าเดินทางกันต่อ เราได้ที่พักราคาถูกเพื่อของีบเพียงสองชั่วโมงอยู่ไม่ห่างจากท่ารถ อาการง่วงยังเหลืออยู่ถึงแม้จะหลับมาตลอดทางก็เหอะ เราทั้งคู่เลยหลับไปง่ายๆหลังจากหัวถึงหมอนได้ไม่กี่นาที
เราตื่นแต่เช้า อาบน้ำอาบท่าเสร็จผมก็อาสาเป็นไกด์พาหลีไปแวะชิมกาแฟประชานิยมอันขึ้นชื่อของหลวงพระบาง แล้วยังพาเดินตลาดเช้า ดูวิถีชาวบ้านที่นี่ และมาเช่ารถจักยานเพื่อปั่นไปท่ารถจองตั๋วกลับเวียงจันทน์วันนี้ ในร้านยังรับแลกเงินด้วยนะครับ แนะนำเลยว่าให้ไปที่ร้าน ทันสะมัย มินิมาร์ท อยู่ตรงข้ามกับ กาดดารา ลองไปถามหาดูนะครับ แลกได้เรทดีกว่าธนาคารเยอะเลย เราปั่นรถเรื่อยไปจนถึงสถานีขนส่ง แต่ปรากฎว่าไม่สามารถจองได้ ต้องให้เราโทรไปสอบถามเอาเองตอนประมาณ 3 โมงเย็นด้วยเหตุผลทำนองว่าวันนี้คนเดินทางเยอะ จึงไม่มีรถออกตามเวลาแน่นอน แต่อาจจะมีรถเสริม และให้เราโทรมาถามเอาเอง หลังจากนั้นเราเลือกที่จะปั่นเข้าไปกลางเมือง จนมาเจอประเพณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนหลวงพระบางคือ การแห่ พระบาง ที่จะมีขึ้นเพียงปีละครั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่สงกรานต์ นี่ก็ถือว่าเป็นช่วงจังหวะพอดีที่ได้เห็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมายาวนานของเมืองนี้ คนเยอะครับ รอบๆมีทั้งคนหนุ่มคนสาวแต่งตัวชุดผ้าซิ่นสไบเฉียงเข้าพิธี มีตากล้อง คอยกดชัตเตอร์เก็บภาพตลอดรอบบริเวณ อากาศเริ่มร้อน ผมเข้าไปดูพิธีได้ไม่นาน และดูไม่ถนัดเท่าไหร่ เลยเลือกที่จะออกมาปั่นรถพาหลีเที่ยวรอบๆเมืองต่อ แล้วยอมแพ้กับอากาศร้อนอบอ้าว เลยตัดสินใจกลับเข้าที่พัก เก็บของ เช็คเอาท์แล้วนำกระเป๋าลงมาฝากไว้ข้างล่างก่อนจะเอารถจักรยานไปคืน
ช่วงบ่ายวันนั้นที่เรายังพอมีเวลาเหลือ เราเลือกใช้วิธีการเดินรอบเมืองแทน แวะกินเฝอ บาร์แกต เป็นมื้อเที่ยง เวลาวันนี้ผ่านไปรวดเร็วไม่นานก็ถึงเวลาที่ต้องกลับที่พักแล้วรบกวนทาง guesthouse โทรศัพท์ไปขนส่งสอบถามเรื่องตั๋วเดินทาง (ที่นี่ไม่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะครับ ถึงมีก็ไม่มีเหรียญให้คุณหยอด จะโทรไปไหนมีสองวิธี คือ ซื้อซิมโทรศัพท์ และก็รบกวนให้คนอื่นโทรให้) หลังจากรู้ว่าตอนนี้มาซื้อตั๋วขึ้นรถได้เลยผมก็เหมารถสามล้อมาส่งที่สายใต้ ราคาค่าตั๋วประมาณ 500 บาท วันนี้ผมได้กลับมานั่งบนเบาะนุ่มๆเหมือนเดิม ค่อยยังชั่วหน่อย
คืนนี้เราอาศัยรถเมล์เป็นที่นอนอีกครั้งตลอดทาง รถมาถึงเวียงจันทน์ตอนประมาณ ตีห้า แล้วต่อรถสองแถวมาตลาดเช้าที่ตอนนี้ยังเปิดอยู่ มีแต่รถสามล้อที่รอรับคนอยู่ไม่กี่คัน มีคนลาวมารอเข้าไปในขนส่งอยู่ริมทาง เราเดินวนไปมาสองรอบจนสรุปได้ว่า จะหาที่พักนอนก่อนแล้วค่อยตื่นเช้าเดินทางกันต่อ เราได้ที่พักราคาถูกเพื่อของีบเพียงสองชั่วโมงอยู่ไม่ห่างจากท่ารถ อาการง่วงยังเหลืออยู่ถึงแม้จะหลับมาตลอดทางก็เหอะ เราทั้งคู่เลยหลับไปง่ายๆหลังจากหัวถึงหมอนได้ไม่กี่นาที
วันที่ 9 บ้านเราก็เลวร้าย
เราตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินมาที่ท่ารถ หลังจากซื้อตั๋วเราแวะกินบาร์แกตรองท้องก่อนข้ามแดน รถออกจากตลาดเช้ามาถึงท่ารถหนองคายช่วงสายๆ พอเท้าแตะพื้นก็มีพวกคนรถทั้งหลายเข้ามาสอบถามปลายทางที่เราจะไป จนแล้วจนรอดเราก็เลือกที่จะขึ้นรถ ป.2 จ่ายไป 300 แต่ได้ตั๋วราคา 200 ผมไม่ซีเรียสกับราคาเพราะเข้าใจว่าช่วงเทศกาลแบบนี้เมืองไทยก็เป็นอย่างนี้แหล่ะครับ ไม่ต้องไปหาคำตอบอะไรมากมาย แต่ที่รู้สึกแย่คือ รถจะแวะรับคนตลอดทางจนแน่น เด็กรถหลอกรับคนตามสถานีรายทางว่ามีที่นั่ง แต่ก็มานั่งเก้าอี้เสริมพลาสติกตรงกลางทางเดิน ไม่พอ พอคนเยอะหนักๆเข้าก็เก็บเก้าอี้ ให้คนที่นั่งยืนเกาะราวรับอากาศร้อนที่ผ่านเข้ามาที่แม้แต่แอร์ก็สู้ไม่ไหว มีทั้งเด็ก คนแก่ ผู้หญิงอุ้มเด็ก เด็กรถยังคอยกระแซะให้เรานั่งเขยิบชิดเพื่อให้คนอื่นนั่งอัดสามกับเราไปด้วย และมีหลายๆเบาะโดนไปแล้ว ผมไม่ได้รังเกียจที่จะแบ่งให้เพื่อนร่วมทางนั่งด้วยนะครับ แต่ มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้คนเหล่านี้มาลำบากแต่แรกแล้ว สุดท้ายผมก็ให้คู่แม่ลูกอ่อนมานั่งบนเบาะเดียวกับเรา ผมอดสูกับสิ่งที่บ้านเราเป็น ถึงแม้จะเคยเห็นมาบ้างจากสองประเทศที่ไป แต่นั่นคือความจำเป็นเพราะรถน้อยมาก ถ้าพลาดไม่ได้มากับรถเที่ยวนั้นๆ ต้องรออีกหนึ่งวันกว่าจะได้เดินทาง แต่นี่บ้านเรา ความเห็นแก่เงินของคนบางกลุ่มจนยอมทิ้งความมีน้ำใจไป เรามาถึงกรุงเทพตอนหัวค่ำ และแยกกับหลีกลับบ้านย่านฝั่งธน เป็นอันจบทริปสองประเทศครั้งนี้ ใครที่จะเดินทางไปเที่ยวลองสอบถามได้ที่ผมนะครับ และท้ายๆผมมีเคล็ดไม่ลับมาฝากกันครับ
เราตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินมาที่ท่ารถ หลังจากซื้อตั๋วเราแวะกินบาร์แกตรองท้องก่อนข้ามแดน รถออกจากตลาดเช้ามาถึงท่ารถหนองคายช่วงสายๆ พอเท้าแตะพื้นก็มีพวกคนรถทั้งหลายเข้ามาสอบถามปลายทางที่เราจะไป จนแล้วจนรอดเราก็เลือกที่จะขึ้นรถ ป.2 จ่ายไป 300 แต่ได้ตั๋วราคา 200 ผมไม่ซีเรียสกับราคาเพราะเข้าใจว่าช่วงเทศกาลแบบนี้เมืองไทยก็เป็นอย่างนี้แหล่ะครับ ไม่ต้องไปหาคำตอบอะไรมากมาย แต่ที่รู้สึกแย่คือ รถจะแวะรับคนตลอดทางจนแน่น เด็กรถหลอกรับคนตามสถานีรายทางว่ามีที่นั่ง แต่ก็มานั่งเก้าอี้เสริมพลาสติกตรงกลางทางเดิน ไม่พอ พอคนเยอะหนักๆเข้าก็เก็บเก้าอี้ ให้คนที่นั่งยืนเกาะราวรับอากาศร้อนที่ผ่านเข้ามาที่แม้แต่แอร์ก็สู้ไม่ไหว มีทั้งเด็ก คนแก่ ผู้หญิงอุ้มเด็ก เด็กรถยังคอยกระแซะให้เรานั่งเขยิบชิดเพื่อให้คนอื่นนั่งอัดสามกับเราไปด้วย และมีหลายๆเบาะโดนไปแล้ว ผมไม่ได้รังเกียจที่จะแบ่งให้เพื่อนร่วมทางนั่งด้วยนะครับ แต่ มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้คนเหล่านี้มาลำบากแต่แรกแล้ว สุดท้ายผมก็ให้คู่แม่ลูกอ่อนมานั่งบนเบาะเดียวกับเรา ผมอดสูกับสิ่งที่บ้านเราเป็น ถึงแม้จะเคยเห็นมาบ้างจากสองประเทศที่ไป แต่นั่นคือความจำเป็นเพราะรถน้อยมาก ถ้าพลาดไม่ได้มากับรถเที่ยวนั้นๆ ต้องรออีกหนึ่งวันกว่าจะได้เดินทาง แต่นี่บ้านเรา ความเห็นแก่เงินของคนบางกลุ่มจนยอมทิ้งความมีน้ำใจไป เรามาถึงกรุงเทพตอนหัวค่ำ และแยกกับหลีกลับบ้านย่านฝั่งธน เป็นอันจบทริปสองประเทศครั้งนี้ ใครที่จะเดินทางไปเที่ยวลองสอบถามได้ที่ผมนะครับ และท้ายๆผมมีเคล็ดไม่ลับมาฝากกันครับ
**
- ทริปนี้เราหมดกันไปประมาณ 12000 บาท ตกคนละหกพันกว่าบาทกับระยะเวลาเก้าวัน
ก่อนไปให้ตั้งจำนวนเงินที่จะใช้ แล้วไปแลกเงินที่ superrich อยู่ตรงประตูน้ำ ดูเรทได้ทีเวบไซท์ก่อนตัดสินใจ
แนะนำให้แลกเป็นเงินดอลล่า และมีเงินไทยติดตัวไปบ้างนิดหน่อยเพื่อใช้เดินทางระหว่างจากลาวไปฮานอย
สเตปการเดินทางด้วยรถง่ายๆ จากหนองคาย ถ้าไม่ไปรถ หนองคาย – เวียงจันทน์ ก็ให้เรียกรถไปที่ด่าน แล้วต่อรถจากด่านฝั่งลาวเข้าตลาดเช้า มีรถประจำทางครับ ไม่จำเป็นต้องไปรถรับจ้างอื่นๆ หลังจากนั้น ต่อรถอีกครั้งไปท่ารถสายใต้ เพื่อซื้อตั๋ว เวียงจันทน์ - ฮานอย
เวลาซื้อตั๋วที่ท่ารถสายใต้ไปฮานอย ซื้อที่ช่องซ้ายนะครับ พยายามคุยกับเค้าให้รู้เรื่อง ใครเรียกไปไหนอย่าหวั่นไหว และตั๋วต้องเป็นสีขาวแผ่นใหญ่ๆเท่านั้น ถ้าเป็นสีชมพู คุณโดนตุ๋นเหมือนผมอีกแน่นอนครับ
แลกเงินด่องครั้งแรกที่ด่าน Cao Treo ไม่ต้องเยอะนะครับ เผื่อใช้กินระหว่างทางก่อนถึงฮานอยก็พอ
เลือกใช้บริการ Hanoi Taxi ไม่มีโกง
พอถึงฮานอยให้ไปหาแลกเงินในตลาดมึด จะเป็นร้านทองใจกลางเมือง ถามทางชาวบ้านเอาเอง ราคาดีกว่า
อาหารที่เวียดนามจะไม่ค่อยติดราคา ก่อนกินถามซักนิด ดีกว่ากินไปแล้วต้องจ่ายแพง
ซื้อของต้องต่อราคาดีๆ ต่อราคาลงมาครึ่งนึงเลยครับ ได้ผล เชื่อเหอะ
หาของกินหนักท้องติดตัวไปด้วยครับ กันหิวเวลาเดินทาง เพราะหาของกินยากมากขอบอก
ไปซาปาหาที่พักชื่อ Lotus Hotel ถูกและดี มี Wifi
สุดท้ายจองตั๋วเครื่องบินเหอะถ้ามีเงิน อย่าไปแบบผมเลย ลำบากเกินบรรยาย ถ้าไม่ไหว นั่งรถไป ตีตั๋วกลับก็ยังดี ถ้าขืนไปแบบผม กลับมาระบมแน่
จบบริบูรณ์
- ทริปนี้เราหมดกันไปประมาณ 12000 บาท ตกคนละหกพันกว่าบาทกับระยะเวลาเก้าวัน
ก่อนไปให้ตั้งจำนวนเงินที่จะใช้ แล้วไปแลกเงินที่ superrich อยู่ตรงประตูน้ำ ดูเรทได้ทีเวบไซท์ก่อนตัดสินใจ
แนะนำให้แลกเป็นเงินดอลล่า และมีเงินไทยติดตัวไปบ้างนิดหน่อยเพื่อใช้เดินทางระหว่างจากลาวไปฮานอย
สเตปการเดินทางด้วยรถง่ายๆ จากหนองคาย ถ้าไม่ไปรถ หนองคาย – เวียงจันทน์ ก็ให้เรียกรถไปที่ด่าน แล้วต่อรถจากด่านฝั่งลาวเข้าตลาดเช้า มีรถประจำทางครับ ไม่จำเป็นต้องไปรถรับจ้างอื่นๆ หลังจากนั้น ต่อรถอีกครั้งไปท่ารถสายใต้ เพื่อซื้อตั๋ว เวียงจันทน์ - ฮานอย
เวลาซื้อตั๋วที่ท่ารถสายใต้ไปฮานอย ซื้อที่ช่องซ้ายนะครับ พยายามคุยกับเค้าให้รู้เรื่อง ใครเรียกไปไหนอย่าหวั่นไหว และตั๋วต้องเป็นสีขาวแผ่นใหญ่ๆเท่านั้น ถ้าเป็นสีชมพู คุณโดนตุ๋นเหมือนผมอีกแน่นอนครับ
แลกเงินด่องครั้งแรกที่ด่าน Cao Treo ไม่ต้องเยอะนะครับ เผื่อใช้กินระหว่างทางก่อนถึงฮานอยก็พอ
เลือกใช้บริการ Hanoi Taxi ไม่มีโกง
พอถึงฮานอยให้ไปหาแลกเงินในตลาดมึด จะเป็นร้านทองใจกลางเมือง ถามทางชาวบ้านเอาเอง ราคาดีกว่า
อาหารที่เวียดนามจะไม่ค่อยติดราคา ก่อนกินถามซักนิด ดีกว่ากินไปแล้วต้องจ่ายแพง
ซื้อของต้องต่อราคาดีๆ ต่อราคาลงมาครึ่งนึงเลยครับ ได้ผล เชื่อเหอะ
หาของกินหนักท้องติดตัวไปด้วยครับ กันหิวเวลาเดินทาง เพราะหาของกินยากมากขอบอก
ไปซาปาหาที่พักชื่อ Lotus Hotel ถูกและดี มี Wifi
สุดท้ายจองตั๋วเครื่องบินเหอะถ้ามีเงิน อย่าไปแบบผมเลย ลำบากเกินบรรยาย ถ้าไม่ไหว นั่งรถไป ตีตั๋วกลับก็ยังดี ถ้าขืนไปแบบผม กลับมาระบมแน่
จบบริบูรณ์
อ่านแล้วรู้สึกว่า...เมื่อยและเหนื่อยแทนมากกกก กับการเดินทาง..
ตอบลบแต่ก้อน่าสนุกดีอ่ะ...ได้เจออะไรตั้งมากมาย...
ประมาณว่า..ความเหนื่อยที่แฝงไปด้วยความสนุก สุขใจ..จ้ะ(อิอิ)..
ปล. วันที่ 5 หายไปไหนอ่ะ...มีวันที่ 4 สองวันอ่ะ
พี่ณีย์จ้ะ...^_^