ท่าลี่เป็นอำเภอเล็กๆก่อนเดินทางคาดว่าน่าจะเจริญกว่าเชียงคานเพราะมีด่านข้ามแดนถาวร แต่พอเข้าไปใจกลางอำเภอ ไม่ใช่อย่างที่คิดเว้ย แล้วจะมีอะไรให้เที่ยวหว่า นั่นเป็นคำถามแรกๆที่คิดกลางสี่แยกหัวตลาดกลางเมือง ผมออกจากเชียงคานประมาณ แปดโมงเช้า ลัดเลาะจากเชียงคานด้วยเส้นทางหมายเลข 2195 ผ่านเส้นทางล้อมรอบด้วยป่าและเขากับถนนคดเคี้ยวสูงชันเป็นบางช่วง
จุดแรกก่อนที่จะเข้าตัวเมืองผมแวะที่ แก่งโตน ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านว่าบริเวณนั้นมีร้านอาหารของกลุ่มแม่บ้านร่วมกันสร้างจุดพักผ่อนหย่อนใจริมแม่น้ำเหือง มีอาหารหลายแบบทั้งอาหารป่า เช่นเนื้อกวาง และหมูป่า แค่นั้นก็ทำให้ผมและน้องๆที่ไปด้วยตาโตและอยากลองเมนูเด็ด แต่เมื่อไปถึง สิ่งที่เราตามหากลับไม่มีแล้ว กำ เซ็ง แต่ทำไงได้ หิวนี่หว่า หวดรถมอไซด์มากว่าหกสิบกิโล ได้พักแล้ว ขอกินซะหน่อยเหอะ เลยจัดเมนูไปชุดใหญ่อิ่มหนำกันไปสมกับค่าเหนื่อย ออกมาได้นิดเดียวสายตาก็สะดุดกับกลุ่มแม่บ้านที่กำลังขะมักเขม้นทอผ้าพื้นเมืองริมทาง ด้านหน้าเป็นร้านขายของชำ เราเลยแวะถ่ายรูป เจ้าของบ้านใจดีเอาน้ำท่ามารับเรา เย็นสดชื่น ใช้เวลาเยี่ยมป้าๆน้าๆกว่าสิบนาทีจึงล่ำลาและมุ่งหน้าจุดหมายต่อไป พระธาตุสัจจะ สถานที่ศักดิ์สิทธิที่เคารพบูชาของชาวท่าลี่ พระธาตุรูปทรงเดียวกับพระธาตุพนม จากการสร้างทดแทนพระธาตุพนมที่เคยหักโค่นลง หลังจากไหว้ขอพรเรียบร้อย พวกเราหมุนล้อเข้าด่านข้ามแดน แต่ แห้งๆ เงียบๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยหันหัวกลับสู่ถนนหมายเลข 2115 เข้าสู่ตัวอำเภอเล็กโคตร แวะหยุดพักสอบถามข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวท่าลี่ มีพนักงานสาวสวยมาให้ข้อมูลคร่าวๆที่เรารู้หมดแล้ว กับแผนที่สองแผ่นเล็กๆ แค่นั้นเอง
จุดหมายต่อไปคือ ภูแง่ม ที่ตั้งของต้นมะค่ายักษ์ ในบ้านยาง เราควบเจ้าสองล้อสู่เส้นทาง 2399 จนเจอป้ายเล็กๆขวามือว่าต้นมะค่ายักษ์ 8 กิโลเมตร รถที่เข้าไปมีเพียง สองคัน เพราะดูจากเส้นทางแล้ว น่าจะเฉพาะรถวิบากเท่านั้นที่สามารถลุยเข้าไปได้ แต่น้องหนุ่มตากล้องมุ่งหน้าเข้าไปก่อน ส่วนผมวกกลับไปที่อ่างเก็บน้าบ้านยางซึ่งอยู่ในแผนที่การสำรวจ ไม่ได้มีข้อมูลจากราชการ ผมได้ข้อมูลนี้มาจากทางอินเตอร์เน็ต หลังจากเข้าไปสำรวจพื้นที่อ้างว้างกลางแดดจัด ไม่มีอะไรน่าสนใจ เป็นเพียงอ่างเก็บน้ำเล็กๆที่มีบ้านกระต๊อบอยู่บนเนินที่ยื่นออกไปกลางน้ำหนึ่งหลัง ร้าง แต่ดูดีทีเดียวเพราะมีบ้านที่สร้างด้วยปูนอยู่ด้วยลักษณะเหมือนเคยเป็นร้านอาหารมาก่อน รอบๆล้อมด้วยภูเขายอดไม่สูงนัก อยู่ห่างจากถนนประมาณ 500 เมตร เมื่อไม่มีอะไรจึงหันหัวออกตามหนุ่มช่างกล้องไปที่ภูแง่มเพื่อดูต้นมะค่ายักษ์ให้เห็นกับตา ทางที่เข้าไปค่อนข้างดีตอนแรก และแย่ลงๆ ทางเริ่มไม่เป็นทาง ต้องขับรถข้ามลำธารถึงสี่ครั้ง จึงจะได้เจอหนุ่มซึ่งขับรถสวนออกมาบอกว่า ทางข้างในแย่มากไม่น่าจะเข้าได้ ผมเลยถามกลับไปว่า มันมีทางมั้ยหล่ะ ถ้ามีเส้นทาง เราก้อน่าจะไปได้ หนุ่มเลยกลับรถตามผมเข้าไปอีกครั้ง ยิ่งเข้า ยิ่งลึก ไม่มีป้ายบอก ( นี่แหล่ะสถานที่ท่องเที่ยวไทย) เริ่มรู้สึกเหมือนกันว่า เข้าไปได้หรือเปล่า เพราะทางแย่ที่สุด โชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ได้เจอคุณลุงที่ทำไร่บริเวณนั้น บอกว่า มาผิดทางต้องย้อนกลับไป ประมาณ 2 กิโล โห นี่เราหลงทางมา 2 กิโล ในป่านี่ไม่ใช่ใกล้ๆเลยว่ะ เอาวะหันหัวกลับอีกรอบ แต่คราวนี้ต้องลงเขา เป็นเนินไม่ค่อยชันแต่ทางขรุขระมาก คราวซวยมาถึง เมื่อล้อรถปีนขอบเนินดิน การ downhill ลงมาค่อนข้างแรง รถเสียหลัก พลิกตีลังกา ดีดเอาผมลงมานอนกับพื้น ด้วยความที่เป็นทางไม่เรียบร่างกายผมที่แบกเป้เครื่องมือหนักๆไว้ข้างหลังก็หยุดกึกเข้ากับเนินดินแข็งๆ ไม่ไถลไปไหน เจ็บตรงไหล่ แก้มกระแทก หัวโขกเข้าเต็มๆดีที่มีหมวกกันน็อครับไว้ พยายามดันตัวเอง แต่ไม่ขึ้น รู้สึกได้เลยว่าหัวไหล่ขวาไม่ปกติ ไม่มีแรง ปวด แว่บแรกที่เข้ามาในหัวคือ ไหล่หลุด ใช่แน่ๆ…ตัดสินใจ ไม่ลุก รถคู่ใจก็ทับขาอยู่ หลังก็แบกของหนัก แขนหลุด นอนพักรอละกัน เสียงรถตามมาข้างหลังค่อยๆชัดขึ้น และเสียงโครม หนุ่มทิ้งรถลงกับพื้นทันที ( เฮ้ย นั้นรถกูนะเว้ย ) รีบมาประคองและยกรถที่ทับขาขึ้น ถอดเป้ออก ถอดเสื้อคลุม แล้ว เปิดไหล่ดู ชัวร์เลย แขนโย้มาขนาดนี้ หลุดชัวร์ ผมรีบบอกหนุ่มวจับให้เข้าที่หน่อย แต่หนุ่มไม่กล้า ไม่เคยทำ จึงตัดสินใจ หยิบโทรศัพท์ออกมา อืม ไม่มีสัญญาณอีก แม่มหลอกกูได้ สัญญาณดี ชัดทั่วไทย (ถุย….d tac) หนุ่มประคองผมเข้าข้างทางใต้ร่มไม้ ยื่นบุหรี่ให้และบอกว่าจะไปตามรถพยาบาลมาช่วย และก็บึ่งรถที่มันเอากองไว้กับพื้นขับออกไปปล่อยให้ผมนอนรถความหวังและคิดลบว่ารถพยาบาลคงจะเข้ามาได้หรอก วิ่งลงลำธาร สี่ครั้ง กับเส้นทางแบบนี้ นึกในใจว่าออกไปข้างนอกน่าจะดีกว่า แล้วก็ล้มตัวนอนรอความหวัง ความเจ็บค่อยๆเพิ่มมากขึ้น นานกว่าสองชั่วโมง ที่ไม่มีใครอยุ่แถวนั้นเลย เงียบมาก มีแต่เสียงนกร้อง ถ้าไม่เจ็บมันคงสุนทรีดีหรอก แต่ตอนนี้บิวท์ไงก้อไม่ขึ้นว่ะ จนได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์อีกคันเข้ามา นั้นมันรถผมอีกคัน เป็นรถสปอร์ต เวรกรรม เจ้าไผ่ ช่างกล้องอีกคนขับรถสปอร์ตลุยลำธารเข้ามากลางป่าเนี่ยนะ แล้วมันก็มาถึง พร้อมกับจัดแจงดามแขน เอาเสื้อมาพัน และพาผมลุยลำธารด้วยการซ้อนมันกลับ กว่าจะถึงถนนใหญ่ทุลักทุเลเอาการ ถึงลำธารทีก็ต้องลงแล้วขึ้นใหม่ ไม่งั้นมีหวังไถลลื่นลงไปนอนอีกรอบ ผมซ้อนไปจนถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เข้ามารับตัว วุ่นวายกันใหญ่ว่ามาได้ยังงัย โทรถามรถพยาบาลที่ออกไปตามหาผมว่าผมอยู่โรงบาลแล้ว รถอยู่ไหน เวรกรรม ผมอยู่ภูแง่ม แม่มไปน้ำตกห้วยไคร้ ห่างไปอีกนับสิบกิโล ตอนนี้ อาการเจ็บมาถึงเกือบขีดสุดแล้วไม่อยากทน แต่ก็ต้องทนตอบคำถามต่างๆนานาว่าชื่อไร อยู่ที่ไหน ล้มที่ไหน หนำซ้ำยังถามอีกว่า รู้ได้ไงว่าไหล่หลุด… (เอ่อ หมอครับ กรูไม่เคยหลุดหรอก แต่กรูรู้ เพราะนี่มันแขนกรูนะครับ เมิงเลิกถาม แล้วเอาแขนกรูเข้าที่ได้แล้วกรูจะตายแล้ว คิดในใจนะครับ ไม่กล้าดัง เด๋วซวย ฮ่าๆ) ถึงตอนนี้ ผมเอ่ยปากขอมอร์ฟีนหนึ่งเข็มโดยไม่กลัวว่ามันจะทำให้กลายเป็นพวกขี้ยาหรือเปล่า หมอและพยาบาล เก้ๆกังๆสักพักก็ฉีดอะไรไม่รู้ ว่าเป็นยากล่อมประสาท แล้วผมก็ค่อยๆผลอยไป ตื่นมาอีกทีมาอยู่ด้านหน้าโรงบาล มันเข็นเตียงผมมานอนหน้าโรงบาล น้องๆเข้ามาคุยด้วย ผมลุกขึ้นได้แล้วแต่แขนยังเจ็บถึงเข้าที่แล้ว มีรอยช้ำนิดหน่อย ไม่มีอะไรพันพยุงไว้เลยเหรอวะเนี่ย แขนหลุดค้าต้องพันไม่ใช่เหรอวะ คือ กรูใส่แขนให้เมิงแล้ว เมิงไปดูแลตัวเองละกัน เอายาไปกิน ไม่ต้องพันผ้า เฮ่อ นี่แหล่ะ โรงบาลไทย เหนื่อยใจฉิบ
หลังจากนั้น ผมก๊กระโดดขึ้นหลังรถมอไซด์ของเจ้าไผ่ ความปวดน้อยลงแล้วและตัดสินใจว่าจะเอาไง จะกลับเชียงคานหรือว่าไปต่อดี แต่ผมมั่นใจว่ายังไหว เลยลงความเห็นว่าจะหาที่นอนพักก่อนซักคืนค่อยลุยต่อ ภาพของอ่างเก็บน้ำห้วยไผ่ที่แวะไปสำรวจก่อนหน้าเลยแว่บเข้ามา ตกลงกันว่าจะนอนที่นั้นแหล่ะ จึงขโยกเขยกไปตามทางมุ่งหน้าสู่ที่พักที่หมายตาไว้
คืนนั้น เรานอนกันโดยที่มีแสงไฟจากตะเกียงที่ให้เราพอจะกางเต็นท์นอนได้ แต่ก่อนหน้านั้น เราได้ตามหาเจ้าของที่ๆเราจะพักด้วยการถามชาวบ้านจนรู้ว่าเจ้าของที่เปิดร้านอาหารอยู่ไม่ไกล จึงขออนุญาตพักและเค้าก้อไม่ได้รังเกียจอะไร เราอุดหนุนด้วยอาหารและเบียร์นิดหน่อย เสียดายที่ผมไม่ได้ออกไปด้วย เค้าว่าสาวลาวที่ร้าน น่ารักทั้งนั้น ฮ่าๆ เอาเถอะ แขนเดี้ยงขนาดนี้ นอนแหล่ะดีแล้ว สรุปคืนนั้น เราหลับใหลกันไปทั้งสี่คน ท่ามกลางความมึดสนิทกลางป่าและอากาศที่เริ่มเย็น
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นมาคนแรกเพราะนิสัยติดตัวที่ตื่นเช้าตามนาฬิกาชีวิตที่เคยชิน เปิดเต็นท์ออกมา ข้างหน้าจากที่เราเห็นเมื่อวานกับเช้านี้ต่างกันลิบลับ หมอกจางๆที่ลอยเอื่อยๆอยู่เหนือผิวน้ำ (ดังภาพ ) โอบรอบด้วยแนวสันเขาที่ไม่สูงเท่าไหร่ ประกอบกับช่วงที่ตื่นนั้น ก่อนดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมาไม่กี่นาที ผมรีบปลุกเหล่าช่างภาพให้มาเสพบรรยากาศสดชื่นด้วยกัน พร้อมทั้งตั้งกล้องหามุมถ่ายภาพดวงอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้น ได้เห็นชาวบ้านพายเรือกำลังเก็บข่ายที่ดักปลาไว้แต่เมื่อวาน ภาพประทับใจเหล่านี้มันผังลงไปในรอยหยักบนสมองน้อยไม่มีวันลืม แล้วความคิดอีกวูบที่เข้ามาคือ นี่ถ้ากรูไม่แขนหลุด กรูก้อคงไม่ได้เจอ นี่ถือว่าเป็นโชคละกัน
ใช้เวลาดูและเก็บบรรยากาศประมาณชั่วโมงกว่าๆ และนั่งกินอาหารเย็นเฉียบเหมือนแช่ตู้เย็นที่เหลือจากเมื่อคืนรองท้องก่อนออกเดินทาง วันนี้ผมพร้อมแล้ว แต่งตัวเสร็จจัดระเบียบของที่พกมาพะลุงพะลังให้เข้าที่ก่อนเดินทาง ผมเลยตัดสินใจที่จะควบเจ้าสองล้อที่พาผมไหล่หลุดเมื่อวานนี้อีกครั้งด้วยความระมัดระวัง น้องๆเตือนไว้ แต่ผมเชื่อว่า ผมทำได้ จึงกระโดดขึ้นบนเบาะและสตาร์ทเครื่องมุ่งหน้าสู่ที่หมายต่อไป
ระหว่างที่ผ่านไปนั้น ไม่ค่อยมีรถสวนบนเส้น 2399 ถนนค่อนข้างดี แต่แขนยังเจ็บอยู่ เลยบังคับรถได้ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ก่อนจะออกจากเส้น 2399 คิดว่าจะแวะน้ำตกห้วยไคร้ที่ไอ้รถพยาบาลคันนั้นมันไปตามหาผม แต่ด้วยสภาพร่างกายคงยังไม่ไหวที่จะลุยเข้าไปถึงข้างในได้ เลยทิ้งไว้เป็นเบื้องหลังและคิดว่าจะกลับมาเก็บความงามของน้ำตกในภายหน้า เพราะจุดหมายข้างหน้าคือภูสวนทราย ผมและน้องๆจึงมุ่งหน้าไปตามทางสู่อำเภอนาแห้ว จุดหมายที่ห่างออกไปกว่า 150 กิโลเมตร แต่ในใจผมยังสั่งตัวเองอยู่เสมอว่ายังไหว ต้องไหวนะเมิง ไอ้สิท
ไม่เข็ดหล่ะสิ...เรา
ตอบลบอิๆ ไม่เข็ดครับพี่ แค่หลุด ยังไม่ขาด :)
ตอบลบ