

นาแห้ว อำเภอที่อยู่ห่างไกลจากเชียงคานกว่า 2 ร้อยกิโล ออกจากท่าลี่แล้ว พวกผมได้ใช้ถนนหลักเส้น 2113 วิ่งผ่านภูเรือโดยที่ไมได้แวะเที่ยวอะไรเพราะเคยไปมาหลายครั้งแล้ว และหลายๆคนคงรู้จักภูเรือเป็นอย่างดี อีกอย่างแขนข้างขวายังไม่ดีพอที่จะเที่ยวแวะหลายๆที่ ควรจะใช้แรงที่มีมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุด พวกเราเล่นโค้งตามทาง โดยที่ผมยังเป็นผู้นำเช่นเดิม รถไหลมาเรื่อยๆจนถึงอำเภอด่านซ้ายเราเลี้ยวขวาตรงสามแยกข้างหน้าหลังจากผ่านตัวเมืองมาแล้ว ก่อนที่จะไปอำเภอนาแห้ว ชาวบ้านเคยบอกเชิงขู่ว่าเส้นทางเป็นโค้งเก้าพับ คือคดเคี้ยวพับไปมาและต้องขึ้นเขาสูงชันบ้าน แต่ในใจคิดแล้วว่า คงไม่มีอะไรโหดเท่าไหร่ เลยขับรถด้วยความมั่นใจแทบจะลืมไปว่า ตัวเองแขนยังพิการอยู่
เราขับมาซักพัก ก็ได้เจอป้ายใหญ่ๆซ้ายมือชี้เส้นทางเข้าสุ่น้ำตกผาผึ้ง ผาจอม พวกเราหยุดและตัดสินใจเขาไปตามทางด้วยความอยากรู้ เพราะข้อมูลในมือผม ไม่มีน้ำตกชื่อนี้ อืม น่าสนใจหว่ะ …… เราเลาะไปตามทางลูกลังประมาณ 500 เมตรเส้นทางเริ่มแย่ลง (อีกแล้ว) พยายามอีกนิดวะ ผมตัดสินใจลุยเข้าไป มีบางช่วงที่ต้องบิดแขนบังคับรถตามทางขรุขระที่บังคับเส้นทางให้เราต้องหมุนล้อไปตามร่องดินพวกนั้นจนถึงโค้งหักศอกเล็กๆและ ลงเขา (เอาอีกแล้วกรู) งานนี้หนุ่มตัดสินใจ down hill ลงไปคนเดียวเพราะอีกสองคันคงไม่ไหวแน่ เราจึงหยุดพักที่ลานแคบๆปกคลุมด้วยหญ้าพอประมาณ พอจะจอดรถยนต์ได้สักสองคันได้ยินเสียงน้ำตกที่ดังชัดเจนมาก ผมถอดเสื้อ ยกสัมภาระลงพักใต้ร่มไม้ ได้ยินเสียงรถหนุ่มลงเขาไปเรื่อยๆ ห่างไปไม่กี่เมตร ผมเดินสำรวจรอบๆ จนหยุดที่จุดชมวิวเป็นชะง่อนผายื่นออกไป สูงพอควรน่าจะซัก 50 เมตร แต่ก็ยังไม่เห็นน้ำตกเพราะมีต้นไม้ปกคลุมหนาทึบถึงจะได้ยินเสียงชัดเจนก้องไปทั่วทั้งหุบเขา มันต้องใหญ่แน่ๆผมพูดกับไผ่ แต่ไผ่กลับคิดว่าน่าจะเป็นเสียงสะท้อนซะมากกว่า เพราะบริเวณนั้นมีหน้าผาอยู่ชิดติดกันถึง สามด้าน อาจจะทำให้เสียงดัง เพราะถ้าเป็นน้ำตกใหญ่และสวยจริง น่าจะถูกพัฒนาให้เป็นที่ท่องเที่ยวและเส้นทางควรจะดีกว่านี้ ผมเก็บความคิดมาและก็คล้อยตาม แต่ยังไม่ทิ้งความคิดตัวเอง เริ่มเดินสำรวจต่อจนมาเจอบันไดไม้ที่ทอดตัวสู่ด่านล่าง ตัดสินใจเดินลงไปตามทางที่ผุพังบ้าง สังเกตได้ว่าบริเวณนี้แทบจะไม่มีขยะ มีเพียงขยะเก่าๆพวกขวดน้ำอัดลม และถุงขนมฉลากสีซีดบ่งบอกว่าถูกทิ้งมานานมากแล้ว ไม่กี่ชิ้น ผมเดินไปเรื่อยๆ เสียงน้ำตกค่อยๆชัดขึ้นและผมเองก็ตื่นเต้นว่ากำลังจะได้เจออะไรหรือป่าว ในที่สุดผมก้อได้เห็นน้ำตก น่าจะเป็นชั้นบนสุด เป็นโขดหินใหญ่ๆ น้ำเยอะมาก แต่มันยังมีทางไปต่อด้วยการเลาะริมลำธารที่ค่อนข้างลื่น เกาะกิ่งไม้ไปตามโขดหินพยายามลงไปให้ถึงจุดที่ผมได้ยินเสียงดังสนั่นที่อยู่ด้านล่าง ใช้เท้า ทั้งก้นเถือกไถไปตามทางกับมือที่เหลืออยู่ข้างเดียว และดันเป็นข้างที่ไม่ค่อยถนัดซะด้วย แล้วผมก็มาหยุดอีกครั้งเมื่อมายืนอยู่บนขอบผา เบื้องหน้าคือต้นเหตุเสียงที่ทำให้ผมเดินตามมาถึงจุดนี้ สูงหวะ ใหญ่ด้วย น้ำเยอะ สวยมากกกกกก ในใจยังคิด มันต้องมีทางลงไปอีกสิวะ อยู่ข้างบนยังสวยขนาดนี้ ถ้าไปอยู่ข้างล่างคงสวยกว่านี้ และผมใจจริงก็อยากอาบน้ำด้วย จากเมื่อคืนยังไม่ได้โดนน้ำเลย เหนอะหน่ะ มีแต่เหงื่อท่วมตัวถึงจะเป็นช่วงหน้าหนาวก็เถอะ ผมเลาะไปอีกจนเจอบันไดไม้ที่วางพาดบนหน้าผา มองไม่เห็นข้างล่าง และบันไดนั้นดูว่าจะผุบ้าง หลุดบ้าง จะเสี่ยงดีมั้ยเนี่ย ไม่คุ้มแน่ๆ เอาวะได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ถึงลงไม่ได้แน่ๆแขนยังงี้ เลยตัดสินใจเดินย้อนกลับไปด้านบนเพื่อรอให้หนุ่มลงมาสำรวจอีกรอบ
ผมมารออยู่สักพักก้อได้ยินสียงรถหนุ่มค่อยๆใกล้เข้ามา เลยบอกเล่าให้หนุ่มฟัง และได้ยินจากหนุ่มว่าที่ลงไปไม่มีอะไรมันเป็นเส้นทางวงกลมกลับออกไปถนนที่เราเข้ามานั่นเอง หนุ่มแบกกล้องเดินลงไปตามทางที่ผมชี้ ในใจยังคิดและอยากเห็นภาพน้ำตกนั่นด้วยตาตัวเอง และหวังว่าหนุ่มขึ้นมาคงจะได้เก็บภาพสวยๆมาฝาก เอาวะ ไม่ได้เห็นก็ขอดูรูปเอาก็พอ หนุ่มหายไปนานพอควรกลับขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว และบอกว่า พี่ๆ ผมเจองูด้วยพี่ งูเหลือมตัวใหญ่มาก แล้วหนุ่มก็เปิดกล้องให้ผมดูรูปงูตัวนั้น เป็นงูเหลือมจริงๆ น่าจะยาวสัก 4-5 เมตร นอนขดอยู่ใต้ชะง่อนผา รู้ทันทีว่าหนุ่มเหงื่อแตกเพราะอะไร ไปเจอโจทย์มานี่เอง (มันเคยบอกก่อนหน้าแล้วว่าเป็นคนกลัวงูสุดชีวิต )ผมค่อยๆไล่ภาพดูจนถึงภาพน้ำตกที่ถูกเก็บเข้าเมมโมรี่ สวยอย่างที่ใจคิด ถึงจะเสียดาย แต่รู้สึกเหมือนว่าเราได้เจอที่เที่ยวอีกแห่งที่สวยงาม แต่ไม่ได้เป็นที่สนใจ และไม่มีใครรู้จักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะความยากลำบากของเส้นทางด้วยเลยไม่มีใครอยากจะเข้ามาเที่ยวซักเท่าไหร่ ผมเองยังเสียดาย อยากจะเอาตัวลงไปแช่น้ำให้สะใจซะหน่อย แต่ไม่เป็นไร ข้างหน้ายังมี น้ำตกธารสวรรค์ และอีกหลายๆที่ มันต้องมีสักที่ที่เราอาบน้ำได้วะ
เราขับออกมาสักพัก ด้านขวามือเราได้เจอกับวัดโพธิ์ชัย อยู่บริเวณบ้านนาพึง วัดนี้ดูจากภายนอกแล้ว สวยสะดุดตา แต่พอเข้าไปในโบสท์ยิ่งตื่นตาตื่นใจ เพราะภายในมีภาพจิตรกรรมสมัยรัชกาลที่สี่ สวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์ ถึงแม้บางจุดจะถูกบูรณะไปบ้างแล้วก็ตาม เราพักผ่อน และกราบพระขอพรก่อนจะออกเดินทางต่อไปสู่ น้ำตกธารสววรค์
ถึงแล้ว และดีใจมาก คราวนี้ได้อาบน้ำสมใจอยาก น้ำตกธารสวรรค์ อยู่ในแผนที่การท่องเที่ยวจังหวัดเลย ถูกสร้างไปเยอะ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ มีศาลาพัก มีทางเดินทำจากคอนกรีตและไม้ มีห้องน้ำให้บริการอยู่ตอนที่เราไปไม่มีใครเลย ตัดสินใจเปลือยกันทั้งหมด เหลือลิงเกาะตัวอยู่หนึ่งชิ้น ถือถุงเครื่องอาบน้ำเดินไปตามทางจนได้ที่เหมาะๆเป็นแอ่งเล็กๆที่เราลงไปแช่น้ำได้ หนาวหว่ะ เย็นมาก ช่วงนั้นเป็นปลายฝนต้นหนาว อากาศจึงเย็นเฉียบ พาให้น้ำที่ไหลมาเย็นจับใจ เราไม่สนที่จะเก็บภาพอะไร เพราะนี่คงมีคนมารู้จักเยอะแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาอาบน้ำกันอย่างเดียว แล้วเสียงรถมอเตอร์ไซด์ก้อวิ่งเข้ามา กรำ เอาแล้วกรู ใครมาวะเนี่ย
เด็กหนุ่มเจ้าถิ่น อายุประมาณ 16-17 มากัน 4 คนขับมอเตอร์ไซด์เข้ามา 2 คัน โชคดีที่ในนั้นไม่มีผู้หญิง ผมและพวกน้องๆรีบอาบให้เสร็จแล้วขึ้นมาแต่งตัวกันโดยที่ไม่ได้พูดคุยกับน้องๆพวกนั้นสักคำ
พวกเราออกจากน้ำตก เดินทางต่อแต่วกกลับมาที่บ้านเหมืองแพร่อยู่ไม่ห่างจากน้ำตกเท่าไหร่ บริเวณนี้ จะเป็นจุดข้ามแดนเล็กๆ มีแม่น้ำเหืองกั้นอยู่ระหว่างไทยกับลาว ระยะห่างแค่ไม่เกิน 6 เมตร ตอนนั้นน้ำไม่สูง คนไทยลาวสามารถเดินข้ามไปมาหาสู่กันได้ ผมเห็นเด็กนักเรียนที่แต่งตัวเหมือนนักเรียนประถมของไทยเดินถกขากางเกงเดินข้ามฝั่งไป ….เด็กลาวคนนั้นเรียนประถามอยู่ในไทยและใช้เส้นทางนี้เดินทางระหว่างบ้านกับโรงเรียนเกือบทุกวัน พวกเราตัดสินใจสั่งเบียร์ลาวมาลองกันด้วยการตะโกนข้ามไป สักพักแม่ค้าลาวก็เดินถือถังน้ำสีเขียว เดินถกผ้าถุงเอาเบียร์ลาวมาเสิร์ฟเราถึงที่ งานนี้พวกเราได้ดื่มเบียร์ลาวบนภูสวนทรายกันสมใจอยากแน่ๆ
เราเดินทางกันต่อบนเส้น 1268 มุ่งหน้าเพื่อไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ที่เกิดจากความเชื่อของชาวบ้านหมู่บ้านแสงภา
ที่ร่วมกันสร้าง พระธาตุดินแทน พระธาตุที่สร้างจากดิน เกิดจากแรงศรัทธาของชาวบ้านร่วมใจกันถมดินคนละเล็กละน้อยเป็นเวลานานหลายร้อยปี ลักษณะเป็นเนินดินสูงประมาณ 5 เมตร แต่เส้นรอบวงของฐาน ถือว่ากว้างพอควร บนพระธาตุมีของสักการะของชาวบ้านที่มาทำพิธีกราบไว้ตามกระแสความเชื่อที่สืบต่อกันมา ตอนที่เรากำลังเก็บข้อมูลเห็นชายวัยกลางคนกำลังขนดินจากบริเวณรอบๆนำขึ้นไปไว้บนพระธาตุ พวกเราใช้เวลาประมาณ 15 นาที คิดว่าจะไปที่น้ำตกตาดภา ที่อยู่ลึกเข้าไปอีกไม่ไกล แต่เมื่อมองฟ้าแล้วไม่น่าเสี่ยงที่จะเข้าไป เพราะกว่าจะออกมาคงจะค่ำมึด เลยตัดสินใจ มุ่งหน้าไปสู่ที่หมายสุดท้าย อุทยานแห่งชาติ นาแห้ว
เส้นทางหลังจากนั้นเริ่มคดเคี้ยว ไม่ชันมาก แต่สิ่งที่อันตรายคือพื้นถนนที่มักจะมีหินลอยอันเกิดจากการสึกร่อนตามระยะเวลาและการใช้งาน ระหว่างทางเรายังเห็นป้ายน้ำตกหลายที่ ทั้งน้ำตกคริ้ง น้ำตกช้างตก น้ำตกวังตาด แต่ชั่วโมงนี้ ไม่สนแล้ว เพราะ ถ้ามึดกว่านี้กับการขับรถในป่าเขาคงไม่ปลอดภัย รีบไปดีกว่า เตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้นและสรุปสิ่งที่เราได้ในวันนี้
มาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาตินาแห้ว พวกเราเสียค่าธรรมเนียมตรงด่านทางเข้าแล้ว จัดแจงเตรียมที่หลับนอนให้เรียบร้อย สิ่งที่ทำหลังจากนี้คือ เดินสำรวจรอบๆบริเวณที่ทำการของอุทยาน ที่นี่มีทุ่งดอกบัวตอง ถือว่าเป็นโชคที่ดี เพราะดอกบัวตองจะบานเพียงสองสัปดาห์ต่อปี ถึงจะไม่เยอะเหมือนทุ่งดอกบัวตองในแม่ฮ่องสอน แต่ก็ทำให้เราเพลิดเพลินกับความสวยของมันเวลาที่ไหวปลิวไปตามแรงลมที่พัดมาเป็นระยะ รู้สึกปลอดภัยจากอันตรายเพราะเราพักอยู่ห่างจากที่ทำการเพียงแค่ไม่ถึงร้อยเมตร แต่ที่รู้สึกหวั่นใจกว่าคือเจ้าตัวทากดูดเลือดที่คอยยักขบวนชวนเพื่อนๆแวะเวียนมาเยี่ยมขาเราหลายครั้ง ว่าคืนนี้จะดื่มให้สุขใจซะหน่อยต้องคอยระแวงตลอดเวลา โดนกัดมั่งเหมือนกัน แต่ไม่มาก ไม่รู้ว่าที่นี่มีทาก เลยไมได้เตรียมอุปกรณ์ป้องกันมาเลยซักคนเดียว ใช้เวลาไม่นานเราก็จัดการกับเสบียงที่พกกันมาและเบียร์ลาวจนหมดเกลี้ยง จึงแยกย้ายเข้านอนเอาแรงเพื่องานหนักในวันพรุ่งนี่ที่รออยู่
พวกเราตื่นกันแต่เช้าเหมือนเดิม โชคดีที่นี่มีร้านสวัสดิการ เราเลือกหากาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง และกินอาหารเช้ากันเอาแรงก่อน พร้อมกับเตรียมเสบียงอีก 3 มื้อที่เราจะต้องกินตอนอยู่บนภูสวยทราย ตอนที่เราไปไม่มีนักท่องเที่ยว พวกเราน่าจะเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นไปเก็บบรรยากาศบนยอดภูในฤดูหนาวปีนี้ การขึ้นไปนั้น ไม่สารมารถจะขึ้นกันไปเอง ต้องให้เจ้าหน้าที่นำขึ้นไปเท่านั้น หลังจากเราเตรียมตัว ฝากรถและของที่ไม่จำเป็นกับเจ้าหน้าที่ๆดูแลที่ทำการไว้ เราทั้งหมด 5 ชีวิตจึงเริ่มออกเดินทางสู่เนิน 1408 จุดหมายปลายทางที่เราจะพักกัน
ระยะทางช่วงแรกค่อนข้างชัน ด้วยความที่แต่ละคนไม่ได้เดินขึ้นเขามานาน ยังปรับจังหวะการหายใจไม่ถูก เหนื่อยครับ เอาเรื่องเหมือนกัน เราลุยป่าฝ่าดงกันประมาณ 3 กิโล ทางชันบ้าง ลื่นบ้าง แต่ไม่ท้อ อุปสรรคใหญ่กว่านั้นไม่ใช่ความเหนื่อย แต่เป็นเจ้าทากตัวน้อยที่คอยโผล่หัวขึ้นมาเกาะรองเท้าแล้วค่อยๆคืบคลานเข้าไปในตีนเพื่อดูดเลือดหวานๆ โดนกันถ้วนหน้า ยกเว้นเจ้าหน้าที่นำทาง เดินฉับๆเป็นจังหวะชัดเจน ไม่กลัวแม้แต่ทาก แต่เราต้องหยุดพักดูเท้ากันบ่ยอเพื่อดูว่า มันเข้าไปถึงไหนกันแล้ว พวกเราฝ่าดงไม้ไปตามทางที่พอเห็น คาดว่าหลังจากหน้าฝนที่ผ่านมา ต้นหญ้าคงจะได้รับน้ำเต็มที่ เขียวชอุ่มไปตลอดทาง รอบๆตัวไม่มีอะไร ทึบ ดิบ ถึงแสงแดดจะส่องลงมาไม่ถึงพวกเราก็เถอะ แต่ก็ทำให้เหงื่อชุ่มตัวกันหมดเหมือนกัน ระหว่างทางพี่เจ้าหน้าที่พาเราออกนอกเส้นทางเพื่อไปดู กระโถนพระฤษี พืชพันธุ์เดียวกับดอกบัวผุดในป่าทางภาคใต้ เราเคยเห็นแต่รูป หมายมั่นปั้นมือว่างานนี้ได้ดูของจริง แต่โชคร้ายที่วันนี้ดอกสีแดงสดผสมจุดสีเหลือง กลายเป็นกระโถนเน่าสีน้ำตาลเข้มไปซะแล้ว ไม่เป็นไร เราตัดใจกลับสู่ทางเดิมต่อ พี่คนนำทางแวะหยุดตัดต้นกล้วยป่าเพื่อเอาปลีกล้วย ไม่รู้หรอกครับว่าจะเอาไปทำไร รู้แต่คงไปทำอาหารกินแน่ๆ เดินมาอีกระยะ เรามาถึงจุดพักผ่อนแรกของเส้นทาง เรียกว่า แย้งตากแดด เป็นจุดชมวิวที่มีลานกว้างๆให้เราได้ตากเหงื่อให้แห้ง ถึงแม้จะสวยแค่ไหน แต่พวกเราทุกคนไม่สนใจ ต่างคนถอดรองเท้าออกมาดูร่องรอยการถูกบริจาคโลหิตที่เกิดขึ้นตลอดทาง โอ้โห ไม่น้อยครับ ทั้งที่เกาะแวหลุดไปแล้ว และที่กำลังดูดอยู่ แม้แต่ตรงที่เรานั่ง มันยังคืบคลานเข้ามาตามกลิ่นคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในตัวทุกคน
แผลเพียบเลยครับ เรามาถูกจังหวะจริงๆ ปลายฝนต้นหนาว ดินยังชุ่ม เหมาะอย่างมากสำหรับเพื่อนร่วมโลกท้งหลายจะออกมาเริงร่าดักรอดูดเลือดผู้มาเยือนก่อนจะฝังกายลงในดินช่วงหน้าแล้งต่อไป สงสัยว่าเราคืออาหารมื้อแรกของพวกมันในฤดูนี้ ถึงได้แห่กันมาทั้งภู
เราเดินทางออกจากแย้งตากแดด ใช้เวลาอีกกว่าสองชั่วโมง มาถึงที่หมายแล้ว เนิน 1408 จุดกางเต๊นท์ที่สูงที่สุดในภาคอีสาน บริเวณนั้นไม่ต่างจาแย้งตากแดด เป็นลานกว้างๆ ปกคลุมด้วยหญ้าสั้นๆ มีบังเกอร์ทหารเก่า บ่อสูบน้ำกับเครื่องปั้มน้ำด้วยมือที่ไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว ตอนที่เราไปถึง มีพี่ๆเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มกำลังเดินท่อน้ำจากข้างล่างขึ้นมาข้างบน และลงไปยังหมู่บ้านอีกด้านนึง และพี่เค้าบอกว่า ขึ้นมาตามหน้ามาด้านล่างที่เรามองลงไปอยู่ตอนนี้ สูง 1408 เมตร… ทำงานกัน 7-8 คน ทุกคนสวมชุดพลางทหารเหมือนกับพี่เจ้าหน้าที่ที่นำเราขึ้นมา
บริเวณนั้นมีกระต๊อบที่เป็นโรงครัวอยู่หนึ่งหลัง ด้านในมีรอยเถ้าถ่าน น่าจะเป็นโรงครัวและที่สำหรับพวกพี่ๆเข้ามาอบอุ่นร่างกายกันยามหนาว ที่นอนของพวกพี่จะอยู่ตามร่องของบังเกอร์ บางจุดถูกทำหลังคามุงด้วยจาก ใบตอง และมีเสื้อผ้าวางพาดทุกจุด ผมและน้องๆ เดินสำรวจกันรอบๆ แต่ไม่มีห้องน้ำ อยู่ใกล้ๆ พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องเดินเข้าไปในดงหญ้านิดหน่อยถึงจะเจอพลางชี้ทิศที่เราจะเข้าไปปล่อยทุกข์ได้ สวยจริงๆครับ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วยบ่ายแล้วก้อตาม แต่จากจุดนี้ลมหนาวยังพัดมาให้เราได้สบายตัวหลังจากที่ได้เหงื่อกันมาพักใหญ่ จากคำบอกเล่าของพี่เจ้าหน้าที่ จากจุดนี้สามารถมองเห็นภูสอยดาว พร้อมกับชี้นิ้วไปยังยอดเขาที่เราเห็นดินแดงลูกรังอยู่ไม่ไกลนัก ยังมองเห็นภูเรือได้จากระยะไกลมองเห็นบ้านแสงภาที่เราผ่านมาก่อนขึ้นภู และที่นี่ดีหน่อยครับ โทรศัพท์สัญญาณเต็มๆทุกเครือข่าย
เราเริ่มจัดแจงเตรียมที่หลับที่นอนและสำรวจดูแผลที่โดนดูดมาตลอดทาง พี่เจ้าหน้าที่นี่นำเรามาเริ่มแสดงฝีมือการยำหัวปลีป่าที่ตัดมาระหว่างทาง และเรียกพวกเราไปชิม อร่อยมาก ไม่มีรสฝาด นวลๆในปากรวมถึงฝีมือการปรุงในแบบชาวบ้าน มื้อนั้น มีทั้งน้ำพริกปลาร้า ปลากระป๋องที่เราพกมา ยำหัวปลี และซุปอะไรซักอย่างที่พวกพี่ๆเค้าทำให้ ไม่รอช้าพวกผมช่วยกันจกข้าวเหนียวจนไม่เหลือ เรียกว่ามื้อนั้นแม้จะเป็นอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อนก็เหอะ แต่อร่อยที่สุด รู้สึกขอบคุณพวกพี่ๆจริงๆ ใจดีกันทุกคนประทับใจไม่ลืม
คืนนั้น พวกหนุ่มตั้งวงกินเหล้าที่พกมา ส่วนผมกินยาตามหมอสั่งเสร็จก็เข้าเต๊นท์ล้มตัวลงนอน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้เจออะไรมั่ง ขอฟื้นร่างกายให้เต็มที่คืนนี้ก่อนละกัน คิดได้แค่นั้นแล้วก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยาทั้งคืน
ผมตื่นเช้าเหมือนเดิม เมื่อคืนเจอเรื่องประหลาดๆ แต่ไม่ขอเล่าหรอกครับ เด๋วจะหาว่าเพ้อเจ้อ ฮ่าๆ ผมปลุกน้องๆทุกคนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หนาวครับ หนาวจริงๆทั้งลมแรงและความเย็นยิ่งทำให้สั่นมากขึ้น น้องๆทุกคนตั้งกล้องเสร็จเตรียมรอภาพดวงอาทิตย์แหวกทะเลหมอกขึ้นมาให้เราได้ชมและเก็บภาพ ฟ้าค่อยๆสว่างขึ้น และความงามที่เราตั้งตารอก้อผุดขึ้นมาตรงสุดขอบฟ้าที่เรามองไป สวยสมใจที่เราตั้งตารอและเดินฝ่าความลำบากมากว่าครึ่งวัน ทะเลหมอกขาวๆด้านล่างถูกย้อมด้วยแสงสีส้มที่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆแหวกขึ้นมา พวกเรากดชัตเตอร์กันตามแต่ละเฟรมที่เล็งกันไว้ สวยจริงๆครับ พาลให้ผมคิดไปนานาว่าที่เงียบ และงดงามแบบนี้ แต่ทำไมไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือคิดจะเดินทางมาสัมผัส แต่มักจะไปในที่ๆคนชอบแห่กันไป อึดอัด แย่งกันกินแย่งกันใช้ ที่นี่แหล่ะใครอยากสัมผัสจริงๆ ไปได้นะครับหนาวหน้า ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ขากลับช่วงสายหน่อยหลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เราแยกกัน สองกลุ่ม กลุ่มของไผ่แบกของหนักลงไปสู่ตีนภู ส่วนผม หนุ่ม และพี่คนนำทางออกไปอีกทาง เพื่อไปชมจุดที่เป็นแรงศรัทธาของชาวบ้านแถบนี้ หินสี่ทิศ เส้นทางเป็นขาลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยน้อยลงเท่าไหร่ ตามทางยังมีบางจุดที่ต้องขึ้นเนิน เลาะตามหน้าผาแคบๆที่ทางเจ้าหน้าที่เอาไม้ไผก้านเล็กๆมากั้นไว้ไม่ให้นักท่องเที่ยวตกลงไป ดูจากมุมสูงนี้แล้ว ลงไป ไม่เหลือแน่ๆ ระหว่างทาง ได้ชมธรรมชาติที่ต่างกับตอนขาขึ้น สวยครับ ธรรมชาติที่นี่ยังงดงามและสมบูรณ์มาก ผมเดินทางมากว่าสองชั่วโมงก็มาถึงหินสี่ทิศ ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ไล่เลี่ยกันสี่ก้อน วางในมุมและช่องไฟระยะห่างพอดิบพอดี มีร่องรอยการทำพิธีของชาวบ้านหลงเหลือให้เรารู้สึกถึงแรงศรัทธาแรงกล้าที่มีให้ กว่าจะเดินมาถึงนี่ได้ ลำบากพอดูครับ การทำพิธีเพิ่งผ่านไปเมื่อ มีนาคมที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากจะได้มาเห็นพิธีที่ชาวบ้านทำกันต้องรออีกสองปี เพราะเค้าจะทำกัน สามปีครั้ง ถ้ามีโอกาสก็ว่าจะมาแจมซะหน่อย เค้าว่าชาวบ้านจะนั่งดื่มกิน นอนกันที่นี่ทั้งคืน น่าสนใจ ไว้มีโอกาสผมจะกลับมาใหม่
หลังจากนั้นเราตัดสินใจเดินลงอย่างเดียว ไม่แวะที่ไหนอีกแล้ว เพราะความเหนื่อยและหิว จนมาถึงด้านล่าง นั่งพักผ่อนพูดคุยกันสักพัก จ่ายค่านำทาง เก็บของและหมุนล้อเดินทางออกพร้อมความประทับใจใน ภูสวนทราย ยอดภูสูงเงียบสงบแต่งดงาม แล้วผมจะกลับมาอีกครั้ง ในใจหมายหมั้นเอาไว้อย่างนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น