only me on the way











ทริปนี้ผมเดินทางคนเดียว เป็นทริปที่อยู่ในใจผมมานานหลายปีแล้ว การเดินทางระยะทางยาวไกลจากกรุงเทพถึงจังหวัดเหนือสุดของไทย ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก แค่เตรียมรถ XLR 250 ให้พร้อม แล้วลุยไปไม่มีกำหนดเวลากลับที่แน่นอน กะว่าตลอดทริปนี้จะเก็บเกี่ยวความสุขให้เต็มที่ก่อนกลับมาลุยงานต่อ
ผมออกจาก กทม ตอนตีห้า ใช้ถนนบรมราชชนนี เข้าสู่นครปฐม ผ่านบ้านโป่ง ท่ามะกา และมาหยุดกินโจ๊กที่ท่าม่วงกับเพื่อนที่ตามมาอีกคันซึ่งดูฐานะต่างกันราวฟ้ากับดิน เพื่อนขับ BMW เครื่อง 1100 cc ส่วนผมขี่วิบากเก่าๆโทรม เฮ่อ…ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ได้อยากขับรถคู่กันเท่าไหร่หรอก ที่ผมบอกว่าจำเป็นเพราะว่า วันนี้พวกกลุ่มมอเตอร์ไซด์จากกรุงเทพ นัดกันมาทำบุญทอดกฐินที่วัดในอำเภอด่านมะขามเตี้ย ผมแยกกับเพื่อนหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ เพราะเพื่อนจะเข้าไปในตัวเมือง ส่วนผม คงมุ่งหน้าเข้าด่านมะขามเตี้ยคันเดียว หาที่เที่ยว ที่พักที่พี่คนจัดงานเตรียมไว้ให้ เส้นทางที่เข้าไปค่อนข้างดี มีป้ายบอกแหล่งเที่ยวที่ทำให้ผมสะดุด รู้สึกอยากไปชมคือ ต้นจามจุรียักษ์ ผมตัดสินใจเลี้ยวไปตามทางที่ป้ายบอกไว้ รถมาหยุดอยู่หน้าด่านทางเข้าซึ่งเป็นเขตของทหาร สอบถามข้อมูล ปรากฎว่าเจ้าต้นที่ว่าอยู่ข้างในจริงๆ แต่เจ้าหน้าที่ที่รักษาการบอกว่าต้องเข้าไปในป่าลึกด้านใน ผมลังเลใจ จึงหันหัวออกกลับมาด้วยความคาใจ มาจอดอีกครั้งตรงทางแยก ความสนใจและสงสัยยิ่งมากขึ้น เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ขับวิบากนี่หว่า รถเค้ามีไว้ให้ลำบากได้ จะกลัวอะไร แต่ด้วยความที่ไม่เคยขับคนเดียวในที่แบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีบัดดี้สักคันที่ไปเป็นเพื่อน แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วเกิดมีอะไรใครจะรู้วะ แต่แล้วผมก็ยังเอาชนะกิเลสไม่ได้ หันหัวกลับอีกรอบ ลุยไปตามทางที่มี ผ่านคอกม้า คอกวัว หมู่บ้าน ขับมาไม่ถึงสองนาทีจากหน้าด่านก็มาหยุดอยู่ที่ต้นจามจุรีที่ตามหา (ลำบากตายละเมิง ผมสบถจากความไม่เข้าใจคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ ไหนว่ามันเข้าไปลึก ขับมาตดยังไม่หายเหม็นเลย เล่นซะกรูกลัว)



ใหญ่จริงๆครับ และรูปทรงของต้นนั้นสวยงามเหมือนในภาพวาด กิ่งก้านที่แตกแยกออกมากว้างคลุมพื้นที่กว่า 1 ไร่ อายุน่าจะยาวนานหลายร้อยปี พื้นดินรอบๆปกคลุมด้วยหญ้าสั้นๆที่ถูกตัดแต่งไว้สวยงามพอควร ไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบดูแลที่นี่ ต้องขอชมเชยอย่างใจจริง ตอนที่ผมเข้าไปประมาณ 7 โมงกว่าๆ แดดยังไม่แรง ลมพัดไอเย็นในช่วงต้นเดือนพฤษจิกายน ผมนอนชมความงามใต้ร่มเงานานเท่าไหร่ไม่รู้ จนรุ่นน้องที่ตามมาอีกคันมาถึงปั๊มน้ำมันไม่ห่างจากผมเท่าไหร่โทรเข้ามาเพื่อหาจุดนัดพบที่จะเดินทางเข้าไปด้วยกัน ผมขึ้นรถสตาร์ทออกไปรออยู่ริมทางที่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ เสียงเครื่องมอไซด์ 400 cc ค่อยๆใกล้เข้ามา และเสียง bmw ที่เจอเมื่อเช้าตามหลังมาติดๆ ผมกระทืบคันสตาร์ทอีกครั้ง จนเมื่อเพื่อนๆมาถึงผมก็ออกตัวตามไปติดๆและแซงหน้าขึ้นไปนำทางเข้าที่พัก คืนนั้นหลงัจากคณะที่มาทอดกฐินมาถึงครบถ้วนก็เริ่มตั้งวงเมามายกันตามอัธยาศัย
ส่วนผมขอตัวนอนเอาแรงไว้พรุ่งนี้กับระยะทางยาวไกลข้างหน้าที่ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมไม่ได้ไปวัดเหมือนคนอื่นได้แต่ฝากบุญไปกับเพื่อนๆพี่ๆ ผมออกตัวมาแต่หกโมงเช้า วิ่งเข้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี ใช้เส้น 3398 และ 3086 เข้าอำเภอบ่อพลอย ระหว่างทาง น้ำมันจะหมด ผมจึงแวะเติมน้ำมันและกระทิงแดงให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ในปั๊มสาวน้อยหน้าตาน่ารักทอนเงินให้ผม (น่ารักมากขอบอกเจ้าของปั๊มที่นี่) เราสนทนากันพักใหญ่ น้องคนนั้นแสดงออกมาถึงความอยากที่จะได้เที่ยวอย่างผมบ้าง แต่ทำไม่ได้เพราะต้องอยู่เฝ้าปั๊มอย่างนี้ทุกวัน ไม่เคยได้ไปไหน เฮ่อ คนเราบางทีมีเงิน ก็ไม่ไช่ว่าจะหาความสุขได้เสมอ
คำนี้ยังใช้ได้แฮะ ผมเก็บความประทับใจในอัธยาศัยที่ดีของน้องคนนี้ไว้ บึ่งรถออกไปตามทางคนเดียว
ผมวิ่งผ่านหนองปรือ ด่านช้าง และเลี้ยวซ้ายตามทางมาหยุดพักกินข้าวเช้าในปั๊มน้ำมัน ปตท ที่อำเภอบ้านไร่ ก่อนมุ่งหน้าไปสู่อำเภอลานสักที่อยู่ห่างออกไป 54 กิโล ช่วงที่ไปยังเป็นปลายฝนต้นหนาว งานนี้ผมจึงโดนฝนกระหน่ำตั้งแต่ออกจากลานสัก ไปไม่ได้ มองไม่เห็นทาง มีอันต้องหยุดพักตามเพิงของชาวบ้านริมทาง ทั้งฝนทั้งหนาว กลัวเหมือนกันว่าจะไม่สบาย แต่เอาไงดี ก็มาแล้วนี่หว่า ระยะทางระหว่างลานสักถึงคลองลาน ผมต้องพักรถเป็นช่วงๆทั้งวัดและบ้านคน เพราะฝนจะตกๆหยุดๆ บางแห่งก็ต้องลุยน้ำที่ท่วมขึ้นมาครึ่งล้อ กว่าจะออกมาถึงถนนหมายเลข 1 ได้ ตัวผมเองก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝนและน้ำจากพื้นถนน
บนถนนหมายเลข 1 ผมหวดรถไม่ยั้ง กะว่าเอาให้ไอ้ที่เปียกๆทั้งหลายให้แห้งหมด ถือว่าดีที่ระหว่างทางจากกำแพงเพชรถึงจังหวัดจาก ไม่มีฝนลงมาให้ต้องพักอีก ตลอดทางที่ขับไปมีขบวนรถมอไซด์ ที่ไปปาร์ตี้กันในจังหวัดนครสวรรค์ มีกลุ่มหนึ่งมากันกว่าสิบคัน ผมเลยอาศัยขอขับเกาะท้ายกลุ่มเค้าไปด้วย ผมแยกกับกลุ่ม มาหยุดอยู่ที่ทางแยกซ้ายเข้าอำเภอแม่สอด โทรหารุ่นพี่ที่ขับรถด้วยกันประจำ ให้ช่วยเลือกว่าจะไปนอนที่ไหนดี คำตอบที่ได้ทำให้ผมหันรถซ้ายไปเส้น 105 สู่อำเภอแม่สอด หลังจากเติมน้ำมันเสร็จ ผมขับรถไปบนถนนที่ค่อนข้างดีทีเดียว ถึงจะขึ้นเขาบ้างก็ตาม บางช่วงถนนกว้าง เพราะที่แม่สอดจะเป็นด่านข้ามแดน จะมีรถบรรทุกขนส่งสินค้าใช้ทางนี้ไปสู่ประเทศเมียนม่า ขับมาเรื่อยๆจนถึงจุดพักชมวิวข้างทาง ผมจอดรถลงไปฉี่ และพักรถไปด้วยในตัว ระหว่างรอให้รถเครื่องเย็นลง ผมไปนั่งจิบกาแฟ อยู่ริมผาบริเวณจุดชมวิว อากาศเย็นสบาย ลมพัดพาเอากลิ่นดอกบัวตองมาด้วย ทั้งกลิ่นกาแฟ และ กลิ่นดอกไม้หอมๆ อยู่แล้วไม่อยากขยับไปไหนเลย
มาถึงแม่สอดประมาณ 6 โมงกว่า ฟ้าเริ่มปิด อากาศไม่เย็นครับที่นี่ ในตัวเมืองถือว่าเจริญมากแห่งนึง ตามทางที่ผมขับรถเข้าไปจะเห็นสาวพม่าเดินอยู่ข้างทาง นุ่งโสร่ง ประแป้งหน้าขาวผ่อง ร้านอาหารน่าทานหลายร้านตั้งเรียงรายสองข้างทาง แต่ตอนนี้หาที่พักก่อนแล้วค่อยออกมาหาอะไรกินให้หายเหนื่อย
ผมเสียค่าที่พักคืนนี้แค่ๆ 250 บาท พอจ่ายเงินแล้วผมเดินออกมาตามทาง ไม่อยากขับรถ อยากเดินชมเมืองมากกว่า ที่พักอยู่ออกไปสู่ด่านข้ามแดนห่างจากตัวแม่สอดพอควร ผมเดินอ้อยอิ่งชมเมืองไปเรื่อยๆ เอ..?ตะกี๊คนยังเยอะอยู่ แล้วตอนรี้มันหายไปไหนหมดฟระ ไอ้ร้านที่เปิดขายเมื่อกี๊ ทำไมไปอีกทีปิดซะแล้ว ดูนาฬิกาแค่ทุ่มกว่าๆเอง ทำไมรีบปิดกันจัง ผมเดินมาจนถึงตลาดที่กำลังจะวาย แม่ค้าเริ่มทยอยเก็บของกันเร็วมาก แต่แล้วผมก็ได้อกไก่ทอดชิ้นใหญ่ กับข้าวเหนียวหนึ่งห่อ ในราคาลดสุดๆเพราะแม่ค้าจะปิดร้านแล้ว คิดว่ายังไงคืนนี้ตรูก็ไม่อดละเว้ย ก่อนกลับถึงห้อง ผมแวะซื้อปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไปเผื่อหิวกลางดึกกันเหนียว
กลับมาถึงที่พัก ผมจัดแจงแกะห่อข้าวเหนียว และไก่ทอดชิ้นโต เปิดทีวี เปิดแอร์เรียบร้อย ผมคว้าไก่เข้าปากทันที อุ๊บซ์……ไก่เน่า แม่มเอ๊ย ความสุขหายไปทันที กลายเป็นความโมโห ไม่ใช่โมโหธรรมดา แต่เป็นโมโหหิว เอาไรมาให้กรูกินวะเนี่ย เฮ่อ…. ผมเอาไก่เน่าชิ้นนั้นลงถังขยะด้วยความเสียดาย แต่ไม่เป็นไร ด้วยความหน้ามึด แผนสองของผมใช้ได้ คือจัดการข้าวเหนียวที่เหลือ โดยมีน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋เป็นกับข้าวมื้อเย็นวันนี้ เศร้า…..โคตร
เช้ารุ่งขึ้น ก่อนออกเดินทาง ผมโทรไปหาพี่คนเดิมอีก เล่าว่า จากแผนที่ผมว่าจะไปแม่สะเรียงโดยใช้ถนนหมายเลข 105 แต่ไม่ทราบว่าเส้นทางเป็นแบบไหน คำตอบที่ได้มาคือ “ไปได้ถนนบางช่วงกำลังซ่อม ประมาณ 10 กิโลแค่นั้นเอง” ผมเชื่อครับ เดินทางไปตามที่พี่เค้าบอก อืม ถนนดีจริงแต่ไม่นานก็มาถึงช่วงที่เจ้าหน้าที่กำลังซ่อมถนนอยู่ ผมคิดในใจ แค่สิบกิโล เดี๋ยวก็กลับเข้าเส้นทางปกติ แต่พอพ้นถนนที่เค้ากำลังซ่อม กลับกลายเป็นถนนลาดยางเหมือนเดิมครับ แต่ว่า “ที่เหลือหลังจากนั้น ยังไม่ได้ซ่อมเลย กรำ…” ผมลุยไปตามทางที่ผุพัง ขอบถนนสึกและกินขอบลึกเข้ามา มีต้นหญ้าแซมตามรอยพวกนั้น ถนนจากเดิมที่แคบอยู่แล้ว ยิ่งแคบลงไปอีก บางครั้งก็จะมีรถสองแถวที่วิ่งระหว่าง แม่สอด – แม่สะเรียง สีส้มวิ่งสวนมาเป็นระยะ บางครั้งจะเจอตอนที่ออกมาจากโค้งพอดี ตกใจครับ เพราะพวกวิ่งตัดเลนมาในโค้ง เกือบลงเหวกะชนเขาหลายรอบเหมือนกัน เส้นทางอยู่บนไหล่เขาหลายๆช่วง ถ้าพลาดล่วงไปคงกลายเป็นฟอสซิล อีกนานนับหลายปีกว่าที่คนจะมาเจอ เป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่คนรุ่นหลังมาขุดค้นพบพร้อมรถมอไซด์คู่ใจ คิดแล้วก็ขำในใจ ตรูโดนหลอกนี่หว่า ฮ่าๆ แต่สนุกนะครับ มีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดทาง
ผมวิ่งจนไฟหน้าห้อยต่องแต่งเพราะแรงกระแทก พอมาถึงหมู่บ้านชาวเขา เห็นมีร้านซ่อมมอเตอร์ไซด์เล็กๆ จึงแวะเข้าไปให้เชื่อมจุดที่หักให้กลับเข้าที่ แต่เวรกรรม ที่นี่ไม่มีตู้เชื่อม หมู่บ้านนี้ใช้โซล่าเซลล์ แต่เจ้าของร้านก็ใจดีและหัวไว ให้ยางในรถมาหนึ่งเส้น ผมจัดการมัดไฟหน้าไม่ให้หลุดหนักไปกว่านี้ แล้วออกเดินต่อ ตลอดทางที่วิ่งได้ชมธรรมชาติที่ค่อนข้างสมบูรณ์หลังจากต้นไม่เหล่านั้นเพิ่งผ่านหน้าฝนมา คงได้รับน้ำกันเต็มอิ่ม ทำให้เขียวชอุ่มไปทั่วทั้งเขา ผมวิ่งผ่านชุมชนกะเหรี่ยง UN จอดรถมองออกไปตามแนวหลังคาที่ชาวบ้านปลูกติดๆกันทั่วทั้งสันเขาเป็นสีน้ำตาลทั่วไปหมด ถ้าเกิดไฟไหม้คงจะลามต่อๆกันไปยากที่จะหยุด รถดับเพลิงกว่าจะเข้ามาถึง ที่นี่คงเกลี้ยงไปก่อนหน้าแล้ว ที่นี่มีคนอพยพข้ามหนีสงครามมาอยู่เยอะ ผมไม่ได้แวะเข้าไป ยังคงมุ่งหน้าเดินทางต่อไปตามทางเรื่อยๆ มีบางหมู่บ้านชื่อน่ารักมาก บ้านน้ำรูไหล ผมขับไปยิ้มไป หมู่บ้านอะไรวะ ฮ่าๆ ขับมาอีกสักพัก ผมก็เจอต้นตอของชื่อหมู่บ้านนี้ ด้านขวาของถนนเป็นสันเขา บนถนนมีน้ำเจิ่งนองแต่ไม่มาก มีน้ำไหลออกมาจากรูเล็กๆ แล้วผมก็ถึงบางอ้อ คิดขำในใจอีกแล้ว คนตั้งชื่อคงไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อไร บ้านกูมีรูน้ำไหลออกมา ก็ตั้งชื่องั้นแม่มเลย ผมชอบนะ น่ารักดี
ผมหวดรถมาจนถึงแม่สะเรียง แวะเอารถเข้าซ่อม แล้วซท้อเนื้อควายทุบเจ้าประจำอยู่หน้าทางเข้าตัวอำเภอ อร่อยจริงๆครับ ต้องลอง แล้วมุ่งหน้าต่อไปยังอำเภอขุนยวม เพื่อชมทุ่งดอกบัวตองอย่างที่ตั้งใจไว้
ดอกบัวตอง จะบานเพียงปีละครั้ง ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ก็เหี่ยวเฉา ใครมาไม่ถูกจังหวะ หรือไม่เช็คข้อมูลให้ดดี ไม่มีโอกาสได้เห็นความงามของมัน ที่เหลืองอร่ามทั่วทั้งหุบเขา คราวนี้ผมได้เจอน้องสองคนที่ขับรถรุ่นเดียวกันที่เช่ามาจากปาย เราได้คุยกันและพากันขับเข้าสู่น้ำตกแม่สุรินทร์ ที่อยู่ลึกเข่าไปอีก แต่ไม่ได้ลงไปหรอกนะครับ เพราะต้องใช้เวลากว่า สามชั่วโมง ผมนั่งชมความงามจากระยะไกล แล้วแยกกับน้องๆกลุ่มนั้น เพื่อเดินทางต่อไปยังแม่ฮ่องสอนที่อยู่ห่างไปอีกกว่า 60 กิโล
ถึงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นพอดี แม่ฮ่องสอนคืที่หมายตาว่าจะนอนพักก่อนจะไปต่อวันรุ่งขึ้น แต่อีกใจจึงก็อยากจะขับลุยไปให้ถึงปาย เพราะห่างจากแม่ฮ่องสอนอีกแค่ 80 กิโล คำนวณจากระยะทางและเวลาแล้ว ตัดสินใจไปต่อหลังจากเติมน้ำมัน ถ้าขับประมาณ 40 ถึงปายก็แค่ 2 ชั่วโมง เอาก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน แล้วการตัดสินใจด้วยตัวเองของผมก็พลาด เพราะผมใช้เวลากว่าสามชั่วโมง ลืมไปว่าช่วงหน้าหนาว ท้องฟ้าจะปิดเร็ว แม้ว่าตลอดทางจะมีแสงแดดให้เราได้อุ่นบ้าง แต่พอเข้าร่มไม้ความเย็นยะเยือกก็เข้ามาแทนที่ เสื้อแจ๊กเก๊ตพอให้ผมหายหนาวได้ แต่ ท่อนล่างที่เป็นกางเกงขาสั้นลายพลางนี่สิ รับลมเต็มๆ ผมทนขับไปน้ำตาไหลไปเพราะความหนาว ในใจคิดด่าตัวเอง นี่กรูทำไรอยู่วะเนี่ย ฮ่าๆ มานึกถึงตอนนี้ก็ขำตัวเอง หนาวโคตรๆครับ ตลอดทางผมไม่ได้แวะจุมชมวิวข้างทางทั้งสองจุด ตะบี้ตะบันขับอย่างเดียวเพื่อหนีความหนาวเย็นลดลงๆ แล้วก็มาถึงปายตอนประมาณ 1 ทุ่ม ใจผมอุ่นและตัวผมยังเย็นเฉียบ ทุกส่วนร่างกายแข็ง บางครั้งตะคริวก็กิน ผมทนอีกหน่อยขับวนจนหาที่พักได้ เจ้าของห้องบอกว่าให้รอเพราะลูกค้าเพิ่งออกไปกำลังจัดห้องอยู่ ผมไม่สน รีบจ่ายเงิน ไม่เอาสัมภาระลงจากรถ ดึงกุญแจ แล้วเดินออกมาตามทางมุ่งหน้าสู่ที่หากินเพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้นอย่างด่วน
ห่างออกมาไม่เท่าไหร่ผมเจอกับร้านขายยาดอง เห็นมีลูกค้าอยู่บ้างสองถึงสามโต๊ะ ไม่รอช้า เข้าไปถามทันที “พี่มี regency มั้ยครับ” ในร้านนี้ไม่มี มีแต่ยาดอง ผมถามราคาและได้คำตอบที่โดนใจแค่ สิบบาท ชั่วโมงนั้นไม่สนแล้วว่ามันจะเป็นช้างกระทืบโลง โด่ไม่รู้ล้ม หรือสูตรยาสารพัดอะไรก็ตามแต่ ผมไม่พูดเอานิ้วจิ้มไปที่ขวดโหลแล้วบอกว่า เอานี่กับนี่ (ตอนนั้นแม้แต่พูดยังไม่อยาก) ผมซัดไปสองจอก และนั่งในร้านหวังว่าร่างกายจะอุ่นขึ้น ไม่เป็นผล มันยังเหมือนเดิม เอาไงดีฟระ ฮึดอีกครั้ง เดินไปเซเว่นตรงถนนคนเดิน สั่งregency มาทันที 1 แบน ออกมาหน้าร้าน ผมกระดกครั้งเดียวหมดไปครึ่งนึง แล้วเดินต่อในสภาพย่ำแย่ ขาแข็ง มือแข็ง ขนลุก หนาวสั่น ขาไม่มีสปริง ถ้าจะมองภาพให้ออกให้นึกถึงไอ้อ่างที่เล่นตลกหล่ะครับ “ตึ่งๆ มีเรื่องแล้ว” ตอนนี้ผมกับมันไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผมไม่เหลือความอาย เดินต่อไป จนถึงร้านนม ก็กิน เจอน้ำสมุนไพรก็ซัดให้เกลี้ยง ร้านโจ๊กร้อนๆถือว่าเป็นมื้อสวรรค์ของผมเลย พอได้อาหารอุ่นๆ ร่างกายผมเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ไม่รู้ว่าสารตัวไปตั้งแต่ยาดองจนไปถึงโจ๊กใส่ไข่ ที่มันช่วยให้ผมดีขึ้นได้ในเวลาไม่นาน คืนนั้นผมไมได้ใช้เวลากับการเดินดูของอย่างที่ฝูงชนที่มาเยี่ยมเมืองนี้ทำกัน เพราะดูแล้ว เหมือนเดินอยู่ข้าวสาร เพียงแต่เดินทางมาไกลกว่า แค่นั้นเอง
วันนี้ผมยังตื่นเช้าเหมือนเดิม อาบน้ำเก็บของเตรียมตัวออกแต่เช้า เติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท แล้วหวดไปตามทางลงไปแม่แตงแล้วใช้เส้นทาง 107 ผ่านเชียงดาวเพื่อขึ้นไปบนดอยอ่างขาง ระหว่างทาง ผมแวะทานอาหารที่ร้านข้าวขาหมูริมทางในอำเภอแม่แตง คนแก่สามคนนั่งกินอยู่ด้วยกัน เสื้อผ้ามอมแมมไม่ต่างจากผม ผมเดาได้เลยว่าเค้าก็เป็นนักเดินทางด้วยเหมือนกัน เพราะหน้าร้านมีรถมอเตอร์ไซด์ที่บรรทุกของพะรุงพะลังอยู่สามคัน ในร้านนี้มีแค่พวกเราสี่คนที่เป็นแขก ด้วยความเป็นผู้น้อย ผมจึงเข้าไปทักทายพวกท่าน ได้รับฟังสิ่งที่น่าสนใจของทุกท่านที่พ้นวัยเกษียนแล้วทั้งหมด ทุกคนเป็นเพื่อนกัน อยู่นครสวรรค์ เป็นนายทหารยศนายพล เป็นเจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดังในจังหวัด ทุกคนมีฝันเหมือนกันกับผมคือ การได้ท่องเที่ยวแบบนี้ ค่ำไหนนอนนั่น แต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะด้วยหน้าที่ และหน้าตา แต่ตอนนี้ท่านว่าทุกอย่างมันจบแล้ว หลังจากนี้ท่านทั้งสามจะทำความฝันของตัวเองบ้าง ฝันที่ปล่อยให้มันคาใจมากว่า 60 ปี ตอนนี้พวกผมกำลังมีความสุขกับสิ่งที่ทำ
หลังทานอาหารเสร็จ ผมอาสานำทางให้เป็นคันแรก และblock เส้นทางที่รถอื่นจะเข้ามาทำให้ขบวนของเราต้องเกิดอันตราย เราขับมาจนถึงทางขึ้นดอยอ่างขาง พวกท่านให้ผมขึ้นไปก่อนเพราะรถผมใหญ่กว่า ถ้ามามัวขับรอคงจะทำให้ผมเสียเวลา ผมเชื่อและบึ่งรถออกไปตามทาง ทิ้งพวกท่านไว้ดูแลกันเองเบื้องหลัง คิดในใจ ผมโชคดีที่ได้ทำความฝันตัวเองตอนนี้ ไม่ต้องรอจนแก่ถึงจะได้ทำมัน
ทางที่ขึ้นไปกว่า 70 กิโลบางช่วงสูงชันและอันตราย มีกลุ่มชาวต่างประเทศที่มาทัวร์ประมาณ 7-8 คันใช้รถรุ่นเดียวกับของผม เพียงแต่ สภาพต่างกันราวฟ้ากับเหว ผมขอทางและขับแซงขึ้นหน้าไปไม่รอ ขบวน ใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่า แม่มเอ้ย หนาวอีกแล้ว นึกว่าจะรอด เหมือนสุภาษิตไทยเลย ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผมไต่ระดับขึ้นไปจนถึงยอด และความรู้สึกจากเมื่อคืนกลับมาอีกแล้ว ตัวแข็ง มือแข็ง ตะคริวรับประทานตามนิ้วมือ แม่มหนาวอีกแล้ว ผมจอดรถ หยุด และเอาขาตั้งลง โครม!!! ลงไปทั้งรถทั้งคนครั้บ นอนบนสนามหญ้าผมลุกขึ้นมาแล้วพยายามยกขึ้น แต่แรงหมดแล้วครับ ไม่ไหว เอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำมันแล้วก้อล้วงหยิบ regency กระดกลงคอไปสามสี่อึก แล้วล้มตัวลงนอนไปกับรถ เสียงรถวิบากพวกฝรั่งที่ขับตามหลังมาแล้วหยุดอยู่ตรงที่ผมจอดรถ บางคนลงมาจะช่วยแต่ผมบอกกลับไปว่าไม่เป็นไร บอกให้เค้าไปต่อไม่ต้องห่วง ไม่ได้เปิดอุบัติเหตุ แค่อยากนอนพัก แล้วพวกนั้นก็ค่อยๆขับรถจากไป (หยิ่งซะด้วยกรู)
ผมนอนอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอร่างกายอุ่นขึ้นเพราะแสงแดดช่วงบ่ายแก่ๆ ผมลุกขึ้นและยกรถขึ้นอย่างง่ายดาย เก็บรูปและบรรยากาศบนยอดเขาสูงจนอิ่มใจจึงค่อยกระทืบคันสตาร์ทเดินทางต่อไปยังจังหัวดเชียงราย จุดหมายแห่งสุดท้ายของทริปนี้
ขาขึ้นว่าลำบาก ขาลงลำบากกว่าเยอะ ยิ่งคนที่กลัวความสูงอย่างผมแล้ว ยิ่งยากกว่าอีกหลายเท่า ถึงเส้นทางจะสั้นกว่าขาขึ้นถึง 40 กิโล แต่ชันมา เป็นทางลาดลงตามหน้าผา แล้ววกลับเป็นตัว U แคบๆลดหลั่นไปตามทางถึงด้านล่าง มีก้อนหินใหญ่ๆกองอยู่ตลอดทาง คงมีหลายคนที่พยายามใช้เส้นทางนี้ขึ้นไป แต่ด้วยกำลังของรถไม่ไหว ต้องอาศัยก้อนหินพวกนี้ห้ามล้อไม่ให้ไหลถอยกลับลงไปข้างล่าง ผมปล่อยรถลงมาด้วยเกียร์หนึ่งตลอด พร้อมกับใช้เบรกช่วยบ้างเป็นบางจังหวะ ถึงอย่างนั้น ยังได้กลิ่นผ้าเบรกไหม้ลอยมากระทบจมูกเหมือนกัน พอมาถึงข้างล่าง ผมมองย้อนกลับไปข้างบนเส้นทางที่ไต่หน้าผาลงมา นี่กรูเพิ่งลงมาจากบนนั้นเหรอวะ รอดมาได้ไงวะเนี่ย ฮ่าๆ
ผมออกมาจนถึงถนนใหญ่ ขับไปอีกนิดจนถึงทางแยกเข้าเส้น 1249 เพื่อเข้าสู่แม่สรวย คิดว่าคงไม่เจออะไรหนักๆอีกแล้ว เพราะเส้นทางช่วงแรกดีมากๆ ถนนเนียนโค้งสวย เล่นได้สนุกมาก ไม่มีรถสวนเลนซักคัน
แล้วก้อต้องมาจอทางขึ้นเขาอีก แต่ไม่ลำบากแล้ว ขับง่าย แต่เหงาว่ะ เฮ้ยถนนยังงี้ ไม่มีใครใช้เลยไงฟระ ผมใช้เวลาเดินทางผ่านแม่สรวยมาถึงเชียงรายประมาณทุ่มกว่า แต่วันนี้ไม่หนาวเหมือนช่วงที่ขับอยู่ในเขาเมื่อวานนี้ ผมใช้เวลาพักผ่อน และเดินทางกลับกรุงทพอีกสามวันถัดมา รวมระยะทางกว่าสองพันกิโล
ครั้งนี้โหดได้ใจ คราวหน้าเอาใหม่ ชักสนุกซะแล้วกับการเที่ยวคนเดียว only me on the way

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 เมษายน 2553 เวลา 04:33

    ชาตินี้จะมีโอกาสได้ขับรถเที่ยวคนเดียวมั้งมั๊ยเนี๊ยะ อิดฉาจิงๆ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะใส่ขายาวขับรถล้ะ 55

    ตอบลบ