ทริปอุ้มผาง เยี่ยมหมู่บ้านกลางดง

ครั้งนี้ผมเริ่มความคิดการเที่ยวให้มีประโยชน์กับสังคมโดยตรง ใครที่อยู่ในกลุ่มมอเตอร์ไซด์เหมือนอย่างผม ต้องเคยออกทริปที่จุดหมายปลายทางคืองานที่ถูกจัดขึ้นโดย อ้างว่าเป็นการนำเงินไปช่วยวัด สร้างโบสท์ วิหาร ช่วยเด็ก ช่วยมูลนิธิต่างๆ มีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ หรืออาจจะเลยไปถึง สส สว หรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ขึ้นเวทีมีหน้ามีตา แล้วมอบของ มอบเงิน อะไรก็ตามแต่ รายได้ที่ได้มาก็จะหักค่าใช้จ่าย ส่วนที่เหลืออาจจะส่งต่อให้กับกลุ่มเป้าหมาย แต่ไม่รู้หรอกว่ามันจะให้จริงหรือปล่าว บางครั้งก็เคลือบแคลงใจ แต่มันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเยอะ ให้ไปแล้ว จะเอาไปทำอะไรก็เอาเถอะ แต่ถ้ามองกันจริงๆแล้ว ส่วนที่เสียไปน่าเสียดายนะครับ ค่าเวที ค่าวงดนตรี ค่าเครื่องปั่นไฟ ค่าสถานที่ ค่าเช่าเต็นท์ ค่าอาหาร จิปาถะ ที่ต้องจ่ายออกไป ซึ่งเงินส่วนนี้ถ้าไม่ต้องเสีย น่าจะทำประโยชน์ได้เยอะ เพราะถ้านับกันจริงๆ หลายหมื่นครับต่อการจัดงานหนึ่งครั้ง แล้วพวกที่ไปก็จะไปเมากัน ถ้าให้พูดกันก็เหมือนว่าแค่ไปเปลี่ยนที่ดื่มเฉยๆ ทำให้ผมกลับมาคิดถึงยุคแรกๆที่เราเริ่มขับรถเที่ยว มีกิจกรรมเพื่อสังคมแบบนี้ ไม่มีวงดนตรี มีแค่กีต้าร์ตัวเดียวรอบกองไฟ มีเครื่องดื่มกันบ้างตามแต่จะหามาได้ ค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือค่าน้ำมันนั้นน้อยมาก เงินที่เตรียมไปบริจาคได้เยอะกว่า เข้าถึงกว่า แต่เรื่องเหล่านี้หายไปกับวัฒนะธรรมใหม่เป็นการจัดวงดนตรี มีโต๊ะจีนซะ แล้วก็แห่ทำตามกันหมด มีเหลืออยู่บ้างแต่ไม่มาก และไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะทำกันเงียบๆ ความคิดแบบนี้หวนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง และก็เป็นรูปเป็นร่างเมื่อผมได้ปรึกษากับรุ่นพี่ที่ขับรถด้วยกัน ตกลงว่าเราจะเริ่มทำอย่างที่คิด จุดหมายที่เราจะทำอยู่ถึงอำเภออุ้มผางจังหวัดตาก ผมได้เบอร์ติดต่อกับท่าน ผอ โรงเรียนอุ้มผางวิทยา แล้วก็ทราบว่าบริเวณนั้นมีโรงเรียนชาวเขาชั้นประถม ห่างออกไป 15 กิโล เข้าไปในป่า ผมหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตตามคำบอกเล่า แล้วก็ได้เห็นภาพของโรงเรียนนี้ โรงเรียนบ้านยะโม่คี ผมเริ่มวางแผนกระจายข่าว โดยผมจะใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ต พวกพี่ๆจะใช้การบอกปากเปล่าและลงหนังสือ ผลตอบรับกลับมาดีครับสิ่งของหลั่งไหลมาจากทุกทิศ ทั้งเสื้อผ้า ขนม ผ้าห่ม เงิน อุปกรณ์กีฬา กลุ่มพี่ๆหลายคนแทบจะไม่เคยไปเที่ยวที่นั่นเลย ยิ่งเพิ่มความสนใจมากขึ้นทวีคูน แล้วก็มาถึงวันหยุดยาวที่เรารอมาสามเดือน วันที่ 5 ธันวาคม
ครั้งนี้ผมไม่ได้ใช้รถมอเตอร์ไซด์ เพราะมีเพื่อนที่ต้องเดินทางไปด้วย จึงต้องใช้รถยนต์ไปแทน งานนี้มีรถยนต์ สามคัน มีรถ มอเตอร์ไซด์อีก สามคัน พาพวกเรา 15 ชีวิตมุ่งหน้าขึ้นเหนือในตอนหัวค่ำของวันที่ 4 ธันวาคม พวกกุล่มพี่ๆไปกันก่อน โดยที่ผมตามออกไปทีหลัง โดยจุดแรกที่เราจะพักคือรีสอร์ทในจังหวัดตากที่ผมโทรจองเอาไว้ก่อนหน้า ผมมาถึงประมาณ ตี หนึ่งแต่ไม่เห็นใครในนั้นเลย อากาศตอนนี้หนาว ยิ่งอยู่ในช่วงกลางดึกยิ่งหนาวมากโดยเฉพาะภาคเหนือแบบนี้ หรือว่าขับกันไม่ไหวเลยพักระหว่างทาง ผมคิดไปต่างๆนาๆ ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย ก็คงได้แต่นั่งรอ สักชั่วโมงให้หลัง กลุ่มพี่ๆก็มาถึงที่พัก ก่อนเข้านอนผมขีดเส้นเวลาตื่นให้ทุกคนไว้ที่ 6 โมงเช้าและทุกคนก็เข้าใจตรงกัน
วันนี้ผมตื่นก่อนใคร เดินเคาะประตูห้อง ห้องไหนไม่เปิดผมก็โทรเข้าไปให้หนวกหูจะได้ตื่นๆกัน ถ้าขืนตื่นสายจะเดินทางลำบากเพราะอากาศร้อนในตอนกลางวัน และอาหารเช้าก็รออยู่ที่ด้านนอกแล้วด้วย ขืนช้ามีอดแน่ๆ ผมปลุกจนทุกคนมาพร้อมกันที่โรงครัว เติมพลังกันให้พอสำหรับการเดินทางอีกยาวไกล แต่แล้วสิ่งที่เรากลัวก็เกิดเมื่อรถคันหนึ่งโช้ครั่ว ต้องเข้าร้านซ่อม แต่ถือว่าโชคดีที่ร้านในจังหวัดนี้มีอะไหล่ ระหว่างที่รอซ่อมรถ ผมและเพื่อนๆเข้าตัวเมืองหาซื้อของบริจาคเพิ่มเติม จำพวกสมุดและอุปกรณ์เครื่องเขียน ใช้เวลาไม่นานเสียงโทรศัพท์ดังให้สัญญาณว่าได้เวลาเดินทางกันอีกแล้ว
เราวกกลับไปทางหมายเลข 1 เลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 105 สู่อำเภอแม่สอดจังหวัดตาก เวลาที่เห็นพี่ๆขับมอเตอร์ไซด์กันแล้วมันคันไม้คันมือ นี่ถ้าเพื่อนไม่ติดรถมาด้วย ผมก็คงได้เล่นโค้งสนุกๆอย่างนี้บ้าง ได้แต่เก็บเอาความอิจฉาไว้แล้วขับมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถยนต์ในขบวนพยายามจะแซงรถข้างหน้า แต่เกิดเสียจังหวะ แถมมีรถสวนทางมาทำให้ต้องหักพวงมาลัยชิดขวาวิ่งบนไหล่ทางฝั่งตรงข้าม ผมไม่เอะใจ ยังคงไปต่อเรื่อยๆจนมาถึงจุดพักรถ รถคันนั้นไม่ตามมา เริ่มเป็นห่วง พี่ที่เป็นช่างของกลุ่ม ย้อนรถกลับไปน่าจะไม่ต่ำกว่า 20 กิโล กลับมาพร้อมกับรถคันดังกล่าว เราจอดรถแล้วดูอาการผิดปกติของน้ำมันเครื่อง กรองอากาศที่ไม่เคยเปลี่ยนมานาน ทำให้อัตราเร่งหายไป จนรถดับ สตาร์ทไม่ติด เราช่วยกันแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้รถวิ่งเข้าสู่อำเภอแม่สอดจึงค่อยหาอะไหล่มาเปลี่ยนคืนสภาพรถให้ใช้งานตามเดิม
เราใช้เวลาซ่อมอยู่ในปั๊มน้ำมันประมาณ 2 ชั่วโมง เวลาว่างผมก็ขับรถเข้าเมืองหาของกิน เดินเล่นจนรถใช้งานได้ แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางสู่เส้นทาง 1090 เวลาตอนนั้นกว่าบ่ายโมงแล้วกับระยะทางกว่า 160 โล ไม่ใช่ง่ายๆเลยการเดินทางถนนคดเคี้ยวบนเขาสูงชัน ผมขับรถมาเรื่อยๆจนรู้สึกว่ากลุ่มหลังโดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซด์น่าจะไปได้เร็วกว่า ผมเลื่อนกระจกลงแล้วโบกมือให้ล่วงหน้าไปก่อน ด้วยรถที่ขับเป็นเกียร์ออโต้ ไม่ค่อยถนัดกับการใช้รถยนต์แบบนี้ขึ้นภูเขา ทำให้ผมต้องระมัดระวังมากขึ้น ถนนบางช่วงมีร่องรอยรถที่หลุดโค้งกระแทกต้นไม้ แต่ผมว่าเจ้าของรถคงขอบคุณต้นไม้พวกนั้น เพราะไม่งั้นแล้วเค้าคงจะลงไปยังก้นเหวข้างล่าง บางที่มีกิ่งไม้หักมาขวางถนน ผมต้องจอดรถลงมาเคลียร์ทางให้ผ่านไปได้ ถนนเส้นนี้ไม่มีรถวิ่งสักเท่าไหร่ นานๆทีจึงจะมีรถสวนมาให้เราหวาดเสียวเล่น บางโค้งบนหน้าผาสูงชันก็ไม่มีรั้วกั้นไว้ ใครขับแรงแล้วลื่นไถลมีสิทธิลงไปเป็นซากอยู่ข้างล่าง อันตรายครับถนนที่วิ่งระหว่างอุ้มผางกับแม่สอด ขับรถไม่แข็งจริงไม่ควรมา แต่ขอบอกว่าเส้นทางสวยงามมาก เราใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงก็มาถึงโรงเรียนอุ้มผางวิทยา ช่วงห้าโมงกว่าๆแบบนี้อากาศเริ่มเย็น ท้องฟ้าปิดเร็ว ผมนำกลุ่มเข้าไปในโรงเรียน เห็นนักเรียนชาวเขาแต่งตัวเป็นเสื้อผ้าพื้นบ้านสีขาวสลับสีชมพู ดูแล้วสวยดี ยิ่งเห็นเป็นกลุ่มอย่างนี้ยิ่งประทับใจ ผอ เข้ามาทักทายต้อนรับเรา และเรียกเด็กสาวชาวเขาหน้าตาจิ้มลิ้มมาสองคนซึ่งเป็นเด็กที่อยู่ในบ้านยะโม่คี หนึ่งในนั้นเป็นลูกสาวผุ้ใหญ่บ้านด้วย ทั้งสองขึ้นรถของผม แล้วนำทางไปหมู่บ้านที่เธออยุ่ ผมออกจากโรงเรียนมาไม่ถึง 500 เมตรก็ถึงทางแยกเลี้ยวซ้าย เธอชี้ให้ไปทางที่เห็น ถนนคอนกรีตข้นข้างดี เส้นทางเริ่มชันไปเรื่อยๆ ไม่นาน ถนนคอนกรีตหายไป กลายเป็นทางดินลูกรัง ขรุขระ หินกรวดก้อนใหญ่ๆอยู่เต็มพื้นถนน เราขโยกเขยกกันไปตามทาง 15 กิโลครับที่เราต้องฝ่าเข้าไป เวิ้งว้าง สูงชัน บางช่วงก็มีรถบรรทุกพืชไร่ขับสวนมาบนถนนเล็กๆจนเราต้องถอยและหาที่หลบข้างทางให้รถใหญ่ผ่านไปได้ ทรมาณพอควร ไม่นึกว่าถนนจะเป็นอย่างนี้ แต่ไหนก็มาแล้ว ไปให้สุด บ่นในใจตลอดทาง กรู๊ เอารถเก๋งมาลุยป่า ใครเห็นก็ว่าบ้า แต่ที่บ้ากว่าไอ้คันที่ตามหลังมาครับ ดันเป็นรถโหลดซะเตี้ยแป๊ก ถนนบางช่วงก็ดีครับเทปูนเรียบร้อย แต่ได้แค่ประมาณ ไม่ถึงร้อยเมตร ผมถามน้องคนนำทางว่าทำไมเป็นงั้น คำตอบที่ได้คือ พอมีงบประมาณก็ค่อยๆทำ ไปทีละนิด เฮ่อ แล้วทำไมพวกเมิงไม่ทำต่อๆกันมาตั้งแต่ทางเข้าวะ ดันมาทำๆเว้นๆอย่างนี้ เราใช้เวลากว่าชั่วโมงจนมาถึงบริเวณโรงเรียน หกโมงกว่า บรรยากาศโพล้เพล้ หนาวครับแม้ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกก็เหอะ เราจอดรถบริเวณสนามหญ้า โรงเรียน เป็นอาคารตึกสองชั้น ที่เพิ่งสร้างใหม่แทนอาคารเดิมหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกล มีห้องอยู่เจ็ดห้อง ด่านล่างเทปูนโล่ง มีโรงครัวที่สร้างจากไม้โทรมๆอีกหลัง และมีห้องสำหรับเด็กเล็กอีกหนึ่งอาคาร พอเราจอดรถเสร็จ ไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมชาวบ้านด้านในโดยน้องทั้งสองคนอาสาเป็นไกด์ให้ จากโรงเรียนเข้าหมู่บ้านไม่ไกลครับ แต่เส้นทางก็ยังไม่ดีเหมือนเดิมเดินไม่สะดวกนัก แต่นับถือชาวเขาในนี้ครับ เห็นวัยรุ่นหลายคนขับมอเตอร์ไซด์ขับกันแบบไม่กลัวล้ม ไปกันเร็วมาก ในป่าอย่างนี้แม่มมีเด็กแว๊นด้วยเว้ย พวกเราตะโกนแซวกันเป็นเรื่องสนุกปาก เราเดินกอดอกด้วยความหนาว ผ่านบ้านชาวบ้านที่เด็กบางคนออกมานั่งซักผ้าด้วยมือ !!! ครับอ่านไม่ผิด นี่ขนาดมือพวกเรายังต้องหาที่ซุกไว้ใต้ร่มผ้า แต่เด็กคนนั้นนั่งซักหน้าตาเฉยมาก เข้ามาอีกหน่อยเราก็ถึงใจกลางหมู่บ้านเล็กๆ มีชาวบ้านเกาะกลุ่มกันเป็นจุดๆละประมาณสิบกว่าคน ตรงกลางมีกองไฟที่กำลังลุกไหม้ให้กลิ่นและควันฟุ้งอยู่ทั่ว พวกเค้ากำลังนั่ง บ้างก้อยืนหันหน้าหันหลัง เด็กน้อยวิ่งเล่นอยู่รอบๆ แม้แต่หมายังมานั่งผิงไฟด้วย ผมไม่ได้เห็นความลำบากยากเข็น มองเห็นความอบอุ่นที่ไม่ได้มาจากไฟที่เค้าก่อ แต่มันเป็นการมาล้อมวงแบ่งปันไออุ่นให้กัน ไม่เว้นแต่พวกเรา ที่ขอเอามือไปขอแจม เค้าก็ยินดีถึงเราจะแปลกหน้าเป็นคนที่พูดกันคนละภาษากับเค้าก็ตาม ในหมู่บ้านนั้นมีร้านค้าอยู่หนึ่งร้าน มีของกินสารพัดและของใช้ตามที่จำเป็นให้ชาวบ้านได้ซื้อหา ที่สำคัญมีเหล้าต้มแบบชาวบ้านขายด้วย เราถามราคาเครื่องดื่มมึนเมาที่มีแต่ อืม ราคาสูงครับ เข้าใจว่ากว่าจะเอาเข้ามาได้มันลำบาก แต่อีกใจนึงเราก็อยากลองเหล้าชาวบ้านที่เค้ากินกัน เลยตัดสินใจเหน็บกลับมาหนึ่งขวด ในหมู่บ้านมีหลังเดียวที่มีแผงโซล่าเซลล์ มีจานดาวเทียม มีโทรทัศน์ไว้ดู คือบ้านของผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง เราได้บอกจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้ให้ทราบ เดินชมบรรยากาศบนถนนสั้นๆเส้นนี้ แล้วหวนกลับไปยังโรงเรียนเพื่อ เตรียมจัดเครื่องนอนก่อนฟ้าจะปิด ถ้าขืนปล่อยให้มึดคงลำบากเพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ส่วนใหญ่ทุกคนจะเข้าไปนอนในอาคารเด็กเล็ก เข้าไปกางเต็นท์กันแต่ละมุม ของใครของมัน ส่วนผม ออกมาตั้งเต็นท์ข้างนอกใต้อาคาร เพราะเข้าใจลึกซึ้งดีถึงการนอนแต่ละคน มั่นใจว่าขืนนอนข้างในคงไม่ได้หลับแน่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเคยเจอทั้งรถไฟ รถมอเตอร์ไซด์ ขับแข่งกันท้างคืน บางครั้งอาจจะพ่นไอเสียมาให้เราได้กลิ่นที่ไม่อยากดมบ้างบางที แต่ละคน ตัวพ่อทั้งน้าน ข้างนอกแม้จะหนาว ผมกลับมั่นใจว่าหลับได้ง่ายกว่าข้างในแน่ๆ แต่เพื่อนที่ตามมาอีกสามคน ผู้หญิงสอง ผู้ชายอีกหนึ่ง ไม่คุ้นเคยกับกลุ่มนักบิดพวกนี้ คงลำบากถ้าเข้าไปนอนด้วยกัน เพราะแต่ละคน หน้าตาก็ไม่ใช่ว่าจะน่าไว้ใจ ฮ่าๆ ( แต่ในใจจริงๆแล้ว ตรงกันข้าม) ผมเลยสละเต็นท์หลังเดียวที่มีให้กับเพื่อนกลุ่มนี้ไป แล้วกรูหล่ะ คิดแล้วก็ไปจบอยู่ที่รถที่ขับมานั่นแหล่ะคับ ปรับเบาะนอนซะก็สิ้นเรื่อง พวกเราไม่มีใครคิดอาบน้ำซักคน ยกเว้นเพื่อนคนหนึ่งที่โดนผมหลอนไปบอกว่าถ้าอาบแล้วจะไมค่อยหนาว มันเลยลองดู ออกมาจากห้องน้ำ สั่นยังกะลูกหมา เพราะ หนาวมาก ซึ่งความจริงถ้าได้อาบร่างกายก็จะปรับอุณหภูมิได้ และหนาวน้อยลงมันเป็ฯอย่างนั้น ผมทราบหลักการข้อนี้ดี แต่ถ้าเลือกได้ กรูไม่อาบดีก่า เรามาตั้งกลุ่มคุยกันหลังจากจัดเตรียมที่นอนกันเสร็จ สักพักมีสองสาว และหนึ่งหนุ่ม ขับรถมอเตอร์ไซด์ซ้อนสามมาจอดหน้าโรงครัว แล้วบอกว่า คืนนี้จะทำอาหารให้เรากินกัน นี่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนนะครับ เป็นความมีน้ำใจของคนในหมู่บ้านที่จัดหาเสบียงมาเลี้ยงเรา เด็กหนุ่มสาวทั้งสามเป็นคนเดียวกับที่เราเห็นแว๊นรถเมื่อเย็นนี้ อายุราว 24 ใส่ขาสั้น เสื้อกันหนาวตัวหนาๆ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักทุกคันครับ สองคนเป็นแฟนกัน แต่อีกคนโสด และที่สำคัญกว่านั้น เค้าคือคุณครูของนักเรียนที่นี่ครับ เอ่อๆๆ ไอ้คนที่เราเดินแล้วมันขับรถมอไซด์ผ่านไปมายังกะเด็กแว๊นบอย สก๊อยเกิร์ลตะกี๋ มันเป็นครูครับ เมื่อได้รู้ทำให้ผมกลับความคิดมาเป็นชื่นชมคนทั้งสาม ที่อายุยังน้อย แต่เลือกที่จะมอบความรู้ให้กับเด็กๆแทนที่จะออกไปสู่เมืองใหญ่ หาเงินมากๆ ใช้ชีวิตสวยหรู มีบ้านหลังใหญ่ๆ มีรถยนต์ดีๆราคาแพงๆสักคัน แต่เค้าใช้เวลาให้ความสำคัญกับความรู้ของเด็กๆเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ผมขนลุก และชื่นชมหัวใจของทั้งหมดคือ ทุกๆเดือน เค้าต้องร่วมกันแบ่งเงินเดือนอันน้อยนิดอยู่แล้ว มาเพื่อเป็นทุนในการทำอาหารกลางวันสำหรับเด็กที่ผู้ปกครองมีฐานะยากจน คนดีๆในสังคมไทยเหล่านี้ มีอยู่จริงครับ แต่ไม่ค่อยมีใครเห็น ในคืนนั้นคุณครูเข้าครัวมึดๆที่มีแต่แสงไฟจากตะเกียงทำผัดเผ็ด แกงต้มแบบชาวบ้าน ไข่เจียว กับข้าวหม้อใหญ่ให้เราอิ่มหนำกัน อร่อยมากครับ ไม่รู้เพราะความหิวหรือเปล่า แต่ทุกอย่างที่มีหมดเกลี้ยงไม่เหลือ นี่ถ้ารู้ว่ากันดารอย่างนี้ คงจะเตรียมเสบียงมาให้หนัก เพราะหลายๆคนที่กินไปไม่มีทางอยู่ท้อง อย่างผมเป็นต้น
หลังจากกินเสร็จ เราออกมาล้อมกองไฟด้านหน้าโรงครัวที่คุณครูจุดไว้ให้ เราผิงไฟแล้วนั่งชมบรรยากาศรอบๆที่ไม่เห็นอะไรเลย มึดสนิท ห้องนอนบ้านเราเวลาที่ปิดไฟ ยังไม่มึดขนาดนี้ สักพักน้องไกด์สองคนมาร่วมวงด้วย รอบๆตัวตอนนี้มีแต่ความหนาว ลมพัดแรงพอควรยิ่งให้หนาวมากขึ้น ดวงจันทร์ขึ้นแล้ว กลมสวยงาม มีเสียงวัวดังมาบ้างรอบตัว เสียงแมลงและสัตว์กลางคืนที่เราไม่เคยได้ยินสลับกันแหกปาก เราเริ่มพูดคุยเรื่องการเดินทางตลอดวัน ความสนุก จุดที่สวยงาม จุดอันตราย เราเอามาแชร์กันรอบกองไฟกองใหญ่ แล้วก็งัดเอาเหล้าต้มที่ได้มาแจกจ่ายกันไปให้ลอง ไม่อร่อยเลยครับ รสชาติเหมือนน้ำข้าวโพด จืดๆ รู้เลยว่าดีกรีรุนแรงพอควรจากความรู้สึกวูบวาบจากหลอกอาหารจนถึงกระเพาะ แต่แปลกไม่บาดคอเลยซักนิด ยิ่งพอเหล้าเข้าปาก ก็ยิ่งสนุก จากเรื่องการเดินทาง กลายเป็นเรื่องเฮฮา นำเรื่องมาพูดอำกันสนุกสนาน น้องทั้งสองคนก็ได้แต่ฟังแล้วก็หัวเราะตามเรื่องตลกที่เราเล่นมุขกันตลอดจนรู้จังหวะกันและกันดี เราพูดคุยเพื่อให้เวลามันผ่านไปจนถึงตอนนอน แต่แล้ว มันก็ไมได้ช่วยให้เวลาเร็วขึ้นเลย หันมามองนาฬิกา แค่สองทุ่มครึ่ง บรรยากาศยังกะเที่ยงคืน เราเฮฮากันสักพัก ผมฉีกตัวออกมาเป็นคนแรกโดยไม่บอกใคร เข้าไปในรถแล้วหยิบผ้าห่มหนา ถุงมือ หมวกไหมพรม เสื้อกันหนาว แล้วเอนเบาะลงไปให้ได้จังหวะเพื่อหลับให้สบายในคืนนี้ ผมเปิดกระจกสองด้านนิดหน่อย เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเท และหวังว่ามันจะไม่หนาว ผมไม่รู้นะว่าพวกนั้นจะเลิกกันกี่โมง หลายคนเป็นคนนอนดึกครับ แต่ตอนนี้ ผมเลือกที่จะมาอยู่คนเดียว เอนเบาะ เปิดเพลงเพราะๆกล่อมตัวเอง พร้อมกับดื่มด่ำความสุขของบรรยากาศหนาวเย็นปนเสียงธรรมชาติรอบตัวของที่นี่
โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ผมคิดในใจ ผมลุกขึ้นมากดสวิทย์ปิดหน้าต่างจนสุด ลมที่เข้ามามันพัดพาเอาไอเย็นสุดขั้วเข้ามาด้วย ผมตื่นมากลางดึกแล้วรู้ว่า ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ มีหวังหนาวตาย ทุกอย่างที่เตรียมมา ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ผ้าห่มว่าหนา แต่ใช้กับที่นี่ไม่ได้ ในใจก็คิดว่า แล้วที่นี่เค้าใช้อะไรห่มวะ แม้ว่าผมจะปิดหน้าต่างไม่ให้ลมเข้า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อาการหนาวลดลงได้เลย คืนนั้นผมหลับๆตื่นๆทั้งคืน เพราะทุกครั้งที่ขยับตัวรู้สึกได้เลยว่า ข้อต่อทุกส่วนในร่างกายมันปวดร้าวจากความเย็นขนาดนี้ มือเท้าเย็นเฉียบ ผมไม่รู้นะครับว่าตอนนี้กี่องศา รู้แต่ว่าเกิดมาไม่เคยหนาวอะไรขนาดนี้
ผมยังคงตื่นเช้ากว่าทุกคน ตื่นมาตอนตีห้าเกือบหกโมง ก่อนจะไปปลุกคนอื่นผมเข้าห้องน้ำหวังว่าจะทำธุระให้เสร็จก่อน แต่น้ำในห้องน้ำ เยือกเหมือนน้ำแข็ง นี่ถ้าล้างก้นผมก็ไม่กล้าที่จะให้มันไปสัมผัสเลยครับ ตอนนี้ทำได้แค่ล้างหน้าแปลงฟัน แค่นั้นแหล่ะที่ยังพอไหว ออกมาอีกที ฟ้าเริ่มเปิดแล้ว ผมจัดแจงเตรียมเสบียงเช้า พวกโจ๊ก กาแฟ โอวัลติน ผมเตรียมต้มน้ำแล้วเดินไปปลุกทุกคน ทั้งในเต็นท์และในอาคาร ข้างในอุ่นจริงๆครับผมรู้สึกได้จากวูบแลกที่เข้าไป พอทุกคนตื่นกันหมด แล้วก็เหมือนกันกับผมครับ ไม่มีใครกล้าจะอาบน้ำเลยซักคน ตอนนี้หายใจออกเป็นไอจางๆ แต่หลายคนก็เลือกจะหายใจออกมาเป็นควันโขมงที่มีนิโคตินผสมอยู่ หลังจากทุกคนจัดแจงร่างกาย บางคนก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ผมเรียกมาร่วมกันทานอาหารเช้าที่จัดเตรียมไว้ เมื่อคืนรอบกองไฟ มีพี่คนนึงหยอกผมว่า จะเตรียมอาหารและเตามาเพื่อโชว์ว่าตัวเองเตรียมความพร้อมมาดีกว่าคนอื่นว่างั้นเถอะ เหมือนว่าผมจะโชว์พาว เออ!!! เมื่อคืนผมไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย แต่เช้านี้ สิ่งที่ผมเตรียมมาทำให้ทุกคนได้รับความอบอุ่นจากอาหารเบาๆ ถึงมันจะไม่ได้ทำให้อิ่ม แต่ มันทำให้ร่างกายได้อุ่นขึ้น ฮ่าๆ แม้แต่พี่คนนั้น ก็มานั่งโซ้ยกาแฟร้อนๆจากฝีมือผมเหมือนกัน ( ว่าไปแล้ว นี่ผมก้อมีแววเป็นคนขายกาแฟแต่ตอนนั้นแล้วนะ ฮ่าๆ)
หลังจากกินกันเสร็จ พวกเราเดินเข้าหมู่บ้านอีกรอบ เพื่อจะชมบรรยากาศยามเช้า และเผื่อว่าจะมีอาหารร้อนๆให้เราได้กินกันต่อ แต่ไม่มีครับ ไม่มีอะไรขาย ภาพเมื่อวานยังเหมือนเดิมต่างกันที่ตอนนี้สว่างกว่า ชาวบ้านตั้งกลุ่มรมควันอยู่เหมือนเดิม แต่เสื้อผ้าเปลี่ยนไป บรรยากาศเปลี่ยนไป ผมเห็นเด็กคนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่กับหมา มีขี้มูกเปรอะอยู่บ้าง คงเพราะอากาศที่นี่ทำให้เป็นหวัด ผมแกล้งถามว่า อาบน้ำแล้วยัง แค่แซวนะครับ แต่คำตอบที่ได้มา อาบแล้วครับเมื่อเช้า โอ้วแม่จ้าว นี่เมิงอาบน้ำกันตอนเช้าได้ด้วยเหรอฟระเนี่ย เด็กเปรต หลอกกรุป่ะเนี่ย ผมคิดในใจ แต่ดูจากสภาพหน้าตา อืม อาบแล้วว่ะ สะอาดสะอ้าน และดูหลายคนในหมู่บ้านก็เป็นอย่างนั้น นี่คงเป็นเรื่องปกติของชาวบ้านกระมัง แต่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาของพวกผม
เรากลับมาที่โรงเรียนแล้วเริ่มยกของลงจากกระบะ ระหว่างนั้น หูเราได้ยินเสียงจากลำโพงที่ใดที่หนึ่งเป็นภาษาที่เราไม่เข้าใจ ไม่นาน เด็กๆในหมู่บ้านทยอยกันมาที่โรงเรียน มีผู้ปกครองเดินมาบ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ พอมาถึงโรงเรียน เด็กๆก็เข้าแถวอยู่ใต้อาคารเป็นระเบียบเรียบร้อย เราเริ่มทยอยมอบสิ่งของที่เตรียมมาให้เด็กแต่ละคน มีคุณครูมาเพิ่มอีกหนึ่งคน คนนี้มีอายุแล้ว น่าจะเป็นครูใหญ่ของที่นี่ ผู้ใหญ่บ้านก็มาช่วยเราแจกขนม ส่วนพวกเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา เรามอบให้กับทางโรงเรียนเพื่อใช้ในโรงเรียน สักพักมีรถขนข้าวต้มหม้อใหญ่ที่ชาวบ้านช่วยกันทำให้เราเช้านี้ เราเว้นวรรคแล้วเข้าไปจัดการจนเกลี้ยงหม้อ ก่อนจะมาทำงานกันต่อ หิวนี่ครับ ขอเติมแรงก่อน เราได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับทางโรงเรียนเพื่อเป็นทุนตามสมควร แล้วได้พูดคุยกับคุณครูที่เพิ่งเจอเมื่อเช้านี้จึงได้รู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของโรงเรียน ที่นี่จะลำบากมากช่วงหน้าแล้ง เพราะทั้งโรงเรียนมีแท็งค์น้ำอยู่ใบเดียวสำหรับเด็กทั้งหมด ทุกๆปีที่นี่จะขาดน้ำกินน้ำใช้ อุปกรณ์กีฬาที่เราเตรียมมา ก็ยังไม่ตรงความต้องการ เพราะชาวเขามักจะเล่นเปตอง คือมีการแข่งขันกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ที่เราเอามาไม่มี และอีกหลายๆอย่างพวกหนังสือเสริมความรู้ อุปกรณ์พัฒนาเด็กเล็กจำพวกของเล่นไม้ต่างๆที่นี่ยังไม่พอ พวกเราได้พูดคุยกับทางคุณครูระหว่างที่เด็กๆกินขนม มีแย่งกันบ้าง บางคนก็ไม่กินเลือกที่จะเก็บไปกินที่บ้าน บางทีก็มีร้องไห้งอแง มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เรารู้อยู่ แต่ทุกคนยังอยู่ในแถว ไม่มีใครแตกแถวเลย เวลากว่าครึ่งชั่วโมงตรงนั้นเราได้เก็บความประทับใจจากเด็กแต่ละคน พอได้เวลาคุณครูให้ทุกคนนั่งสมาธิส่งจิตกุศลให้กับพวกเรา หลังจากนั้นให้พวกเรามายืนเรียงหน้ากระดานด้านหน้าแถวทั้งหมด มีประธานนักเรียนเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ มาพูดนำขอบคุณโดยมีเด็กๆพูดตาม หลังจากนั้นทุกคนยืนขึ้นแล้วร้องเพลงสั้นๆเป็นภาษาที่เราฟังไม่ออกอีกแล้ว คงเป็นความหมายถึงความขอบคุณถึงสามรอบ ในจังหวะนี้ พี่ยักษ์ คนตัวใหญ่ที่สุด (สูง 199 หนัก 130 ) น้ำตาไหลมาเป็นทาง แล้วหันมาตบไหล่ผมพร้อมกับบอกว่า กรูขอบใจมึงว่ะสิทธิ์ คำพูดสั้นแค่นั้น และสีหน้า ผมก็รู้ว่า เค้ารู้สึกตื้นตันใจกับสิ่งที่เกิดตรงหน้า ไม่น่าเชื่อนะครับว่า สายตาและความอิ่มเอิบใจของเด็กๆ จะส่งให้ผู้ชายตัวใหญ่และจิตใจแข็งแกร่งคนหนึ่งเป็นไปได้ขนาดนี้หลังจากนั้น เราได้ถ่ายรูปคู่กับครูอาจารย์ และร่ำลาบ้านยะโม่คี ปลายทางของความสุขใจในอุ้มผาง
เรากลับออกมาถึงกลางอำเภอแล้ว ตอนแรกว่าจะขึ้นไปดอยหัวหมดในตอนเช้าไปชมทะเลหมอกก็มีอันต้องยกเลิกเพราะทางที่เราเข้าไป บวกกับอากาศเย็นและมึด อันตรายกว่าจะเข้าๆออกๆ จึงปรึกษากันว่าจะไปเที่ยวไหน หลายคนอยากไปทีลอซูเพราะไหนๆก็มาแล้ว แต่บ้างก็อยากจะกลับ จึงตัดสินใจกลับกัน แต่ก่อนหน้าเราไปแวะที่บ้านครูซัน เขียน postcard ทำประกาศณียบัตรว่าเราผ่านมา 1219 โค้งจนถึงที่นี่ แวะกินอาหารกันให้อิ่ม เติมน้ำมันก่อนที่จะ กลับเข้าแม่สอด ขากลับเราแวะเล่นน้ำตกพาเจริญหลังจากลงมาสู่พื้นล่างแล้ว ก่อนจะแยกย้ายกันกลับคนละทิศละทางโดยเฉพาะผมที่แวะทานอาหารที่ร้านข้าวเม่าข้าวฟ่าง เช็คสภาพรถที่มีรอยขีดข่วนรอบคัน เศษก้อนหินที่ล้อดีดขึ้นมาจนสีรถบางจุดกะเทาะออกไป ท่อไอเสียที่ดังก๊องแก๊งเพราะการกระแทกเนินหินระหว่างทางจนอะไหล่บางชิ้นหลุด ผมพยายามที่จะให้มันหายดัง แต่ไม่ได้ต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปจนถึงกรุงเทพค่อยซ่อมแซม เราเดินทางกลับโดยพักบ้างตามปั๊มด้วยความเหนื่อยอ่อนตลอดทาง
ทริปแรกนี้ที่ผมพาเพื่อนๆขึ้นอุ้มผาง หลายคนสนุกและเริ่มรู้สึกว่าการเดินทางมาและมีประโยชน์กับสังคมแบบนี้แตกต่างจากที่เคย ถึงแม้ว่าสิ่งของที่เราเอามายังไม่ถึงตรงจุดประสงค์ของผู้รับ แต่ก็ไม่เสียดาย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของเราที่จะทำมันอีกเรื่อยๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น