สองคน สี่ล้อ สู่เอราวัณ




หลังออกมาจาก ภูสวนทราย พวกเรามาพักที่ภูเรือชาเล่ห์หนึ่งคืน แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอหนองหิน ค่ำวันนั้น เราไปนอนวัดในตัวอำเภอวังสะพุง ก่อนจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม ผมกับหนุ่มมุ่งหน้าไปเก็บสถานที่เที่ยวในอำเภอผาขาว แต่ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ เราจึงเดินทางไปอำเภอเอราวัณ ซึ่งติดกับจังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างทางหมายเลข 2400 เข้าสู่ตัวอำเภอ ผ่านแยกย่อยในหมู่บ้าน สายตาไปสะดุดกับป้ายบอกทางไปวัดถ้ำข้าวสารหิน ผมกับหนุ่มวกรถกลับแล้วหันหัวเข้าสู่ทางแยกตามที่ป้ายบอกไว้ เราใช้เวลาประมาณ 15 นาทีมาถึงปากทางเข้าวัด บริเวณนั้นเป็นชุมชนเล็กๆ ส่วนเส้นทางเข้าไปนั้น ไม่ถือว่าลำบากสำหรับคนทั่วไป แต่ทางดินแดงระยะกว่า 5 กิโลกับคนที่แขนเจ็บอย่างผม ถือว่าเหนื่อยพอตัวครับ ผมเลยปล่อยให้หนุ่มนำหน้า แต่สักพักผมก็ต้องหยุดและหันหัวกลับไปรอปากทางดีกว่า วันนี้เหนื่อยแล้ว แขนที่เจ็บก็ล้าเต็มทน ผมเลยนั่งกินน้ำที่ร้านค้าหน้าปากทางรอไปพลางๆ
สักพัก หนุ่มกลับออกมานั่งกินน้ำด้วย และโชว์รูปที่ถ่ายมา พร้อมกับเล่าเรื่องที่ได้ไปเห็น ผมสนใจ และอยากเข้าไป ถึงแขนจะเจ็บก็ตาม แต่ไม่เป็นไร วันนี้เหนื่อยและเย็นมากแล้ว ไปหาที่พักกันก่อนน่าจะดีกว่า
เราจึงกลับสู่เส้นทางเดิมไปอำเภอเอราวัณ หลังจากหาอะไรกินเสร็จ เราก็ได้ที่พักในวัดอีกคืน คิดว่าจะมีแค่พวกเราซะอีก แต่คืนนั้นเราได้เพื่อนร่วมศาลาวัด เป็นหนุ่มขายยา ที่ใช้รถมอไซด์ผู้หญิงคันเก่าๆเลาะขายตามหมู่บ้าน ผมอุดหนุนด้วยการซื้อผงกำจัดมดมาห่อหนึ่ง 20 บาท (ทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมดเลย ) คืนนั้นเราได้คุยกับหนุ่มสู้ชีวิตจากหนองบัวลำภูจนดึก ก่อนแยกย้ายกันเข้านอนหลับไหลไปด้วยความเหนื่อยล้า
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนจะออกเดินทางไปวัดถ้ำข้าวสารหิน เราเข้าไปแวะรองท้องในตลาดเช้าของอำเภอ โชคดีวันนี้เป็นวันที่มีตลาดนัด เราเดินดูของที่ขายในตลาด จนมาสะดุดอยู่ที่ ร้านขายเครื่องยาสมุนไพร ว่านต่างๆ แต่ที่ทำให้ประหลาดใจและไม่อยากเชื่อว่ามันมีจริง ลูกไม้แห้งถูกมัดเป็นกำ รูปร่างคล้ายคน มีทั้งแบบผู้หญิงและผู้ชาย คนขายบอกว่า มันคือ มัคลีผล และ นารีผล …. เอ่อ เฮ้ย หน้าตางี้เหรอวะ นี่ของจริงเหรอวะเนี่ย ไม่เชื่อหรอกครับ ได้แต่ถ่ายรูปเก็บไว้ สอบถามแม่ค้าบอกว่ามาจากฝั่งลาว เอ่อ นี่ถ้าอยู่ฝั่งไทยนะ ถึงไหนถึงกันอยากดูให้เห็นกับตาจริงๆ แต่พวกเราไม่อยากจะสืบสาวราวเรื่องอะไรมาก เดี๋ยวแม่ค้าจะหมั่นไส้เอา
เราใช้เวลากว่าชั่วโมง จึงออกเดินทางสู่วัดถ้ำข้าวสารหิน วันนี้ด้วยใจที่อยากเห็นกับตา ผมดั้นด้นจนถึงที่หมาย ถือว่าเป็นวัดป่าที่สวยครับ หน้าถ้ำมีบันไดสูงชันประมาณสัก 100 เมตรให้เราสามารถขึ้นไปนมัสการท่านเจ้าอาวาสที่จำวัดข้างบนได้ ด้านหน้าทางขึ้นมีรูปปั้นช้างเอราวัณสองตัวขนาดใหญ่ขนาบอยู่ซ้ายขวา สีขาว และดำ หลังจากผมและหนุ่มเข้าไปสอบถามความเป็นมาจากพระลูกวัดด้านล่างแล้ว จึงขึ้นบันไดไป ด้วยความที่ผมกลัวความสูงอยู่พอควรทำให้เสียวสันหลังตลอดเวลาและไม่กล้ามองกลับลงมากลัวลมจะใส่ซะก่อน งานนี้หลังจากขึ้นไปได้ครึ่งทาง รู้เลยว่า ขากลับลำบากแน่ เพราะบันไดที่เราขึ้นไป สูงชัน เหล็กราวบันไดก็ร้อนจากการที่ตากแดดมานานหลายชั่วโมง และไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ เรามาถึงชั้นบนสุด ท่านเจ้าอาวาสไม่อยู่หรอกครับ เราแค่ของมาชมวิวจากมุมสูงของถ้ำนี้ และเปิดพัดลมให้เหงื่อแห้งก็เท่านั้น แต่ที่แค้นยิ่งกว่า เพราะเจ้าหนุ่มมันรู้อยู่แล้วว่า มันมีทางขึ้นและลงอีกทางที่ต้องลัดเลาะตามแนวไหล่เขา ไม่ลำบาก ถึงทางจะไม่ได้ดีนัก แต่ก็ดีกว่าปีนบันไดเมื่อกี๊ (.\/.) เหตุผลที่หนุ่มไม่พาขึ้นทางนี้เพราะวัดนี้มีงูครับ ไม่ใช่งูเขียว หรืองูธรรมดา มันเป็นงูเห่า มีอยู่ประมาณ 7-8 ตัว อยู่ในบริเวณทั่วไปของวัด แม้แต่บันไดทางขึ้นกุฏิ ยังมีป้ายบอกว่า ระวังเหยียบงู แต่ทุกคนที่เคยมาที่นี่ ไม่เคยมีใครเป็นอันตรายจากพวกเค้าเลยสักครั้ง เป็นอันว่า ผมได้เดินลงอย่างสบายใจ ไม่ต้องเสียวสันหลังเหมือนขาขึ้นอีก ยกเว้นเจ้าหนุ่มที่เดินตามมา คงระแวงตลอดทาง ที่ใครทีมัน กรูกลัวความสูง เมิงกลัวงู ไปไหนไปกัน ฮ่าๆๆ
จากคำบอกเล่าของชาวบ้านว่าเข้าไปข้างในอีกนิด จะมีถ้ำอีกสองจุด ที่ยังไม่อยู่ในแผนที่การท่องเที่ยว ผมกับหนุ่มสตาร์ทรถและเดินทางต่อไปอีกสักห้าร้อยเมตรก็ถึงทางตัน บริเวณเนินเขามีสำนักสงฆ์เล็กๆตั้งอยู่ มีพระจำวัดอยู่ สองถึงสามรูป มีป้ายบอกทางไป ถ้ำแจ้ง และถ้ำใหญ่ พวกเราตัดสินใจไปสำรวจถ้ำแจ้งก่อน จึงจัดเตรียมไฟฉายและน้ำ เดินขึ้นบันไดที่สร้างไว้ด้วยชาวบ้าน ( กรู ปีนอีกแล้ว ) ไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่ก็เหนื่อยเอาการ สุดท้ายเราก็มาหยุดอยู่หน้าปากถ้ำขนาดใหญ่มาก ผนังถ้ำด้านในเหมือนถูกทาสีเขียวเข้มไว้หลายจุด ผมกับหนุ่ม ค่อยๆปีนลงไปด้านล่าง แสงที่ส่องเข้ามาเพียงพอที่จะให้เราเดินโดยไม่ต้องใช้ไฟฉายช่วย สวยครับ ดิบ และยังไม่มีใครมาเยี่ยมที่นี่บ่อยนัก บริเวณในถ้ำ จะเห็นเศษกิ่งไม้ของคนที่มาเที่ยวตั้งค้ำตามจุดต่างๆ มีการก่อกองหินขึ้นเป็นชั้นๆเหมือนกับเจดีย์ขนาดย่อมๆ น่าจะเป็นความเชื่อของคนอย่างนึง ผมเองไม่ทราบความหมายหรอกนะ นอกนั้นแล้วในถ้ำยังมีโครงกระดูกของคนสมัยก่อน ผมไม่เห็น แต่หนุ่มตาดีเห็นและชี้ไห้ดู
เราสำรวจสักพัก จึงเดินออกมาทางเดิม เดินอ้อมตามไหล่เขาไปอีกด้าน เลาะไปตามเส้นทางที่มีผ้าสีเหลืองของพระผูกอยู่ตามต้นไม้ ผมเดินตามไปเรื่อยๆ ผิดทางครับ ผ้าเหลืองนั่น พาเราไปสู่ยอดเขา บนสุดผมมองเห็นรอบได้ 360 องศา สวยดีถึงจะร้อนไปหน่อย เราเห็นเต๊นเล็กๆที่น่าจะทำโดยพระที่อยู่บริเวณนั้น ภายในมีพระพุทธรูปขนาดหนึ่งฟุตตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา เรากราบพระและหาทางเดินต่อไป หนุ่มและผมไม่กลับทางเดิม ด้วยความมั่นใจว่า ผ้าเหลืองนั่นน่าจะพาเราไปถ้ำใหญ่ แต่เพราะไม่มีใครมานานแล้ว ต้นไม่ถึงได้ปกคลุมจนไม่เห็นทางเลย
เอา… ลุยก้อลุย เราเปิดเส้นทางใหม่ด้วยการลุยเข้าไปในป่า ยิ่งลึก ยิ่งรก แต่ทำไงได้ เข้ามาแล้ว ออกไปก็ลำบาก ผมเลยใช้มีดที่พกมาตัดเลาะกิ่งไม้เปิดทางเดินไปเรื่อยๆ จนวกกลับมาอยู่บนเส้นทางเดิมที่เราเข้ามา (แล้วนี่กรูจามุดป่าเดินเป็นวงกลมให้ลำบากทำไมวะเนี่ย) ผมเดินกลับไปตามแนวผ้าเหลืองเหมือนเดิม และลงเขาไปสู่รถที่จอดไว้ เริ่มใหม่ละกันถึงจะเหนื่อยแล้วก็เหอะ ไปอีกทางดีกว่าไปตามป้ายน่าจะเวิร์ค
เราออกจากจุดจอดรถมาอีกไม่ถึง 100 เมตรก็ถึงทางขึ้นถ้ำใหญ่ ทางขึ้นแย่กว่าเมื่อกี๊ แต่พอให้เราปีนขึ้นไปได้ จนมาถึงปากถ้ำ เล็กครับ ไม่เห็นใหญ่อย่างชื่อเลย พระท่านบอกว่าให้เดินไปตามแนวสายไฟ ผมเชื่อ จึงมุ่งหน้าไปตามสายไฟสีขาวที่ขึงเอาไว้ ยิ่งลึก ยิ่งมึด ตอนนี้ได้ใช้ไฟฉายที่พกมาแล้ว มึดมากครับ ทั้งยังค่อยๆแคบลง จนมาสุดทาง แต่สายไฟนั่นลอดผ่านรูเล็กๆขนาดพอดีตัวคนเข้าไปได้ หนุ่มลังเลอยู่พักใหญ่ด้วยความที่กลัวสิ่งลี้ลับและสัตว์มีเขี้ยวที่อาจจะอยู่ตรงไหนซักแห่งในนี้ พี่กลับเถอะ ฮ่าๆ นั่นคือคำชวนของหนุ่มบัดดี้ผม แต่ผมว่า ไม่น่าจะมีอะไรนะ เพราะในเมื่อมีสายไฟอย่างนี้ คงจะมีคนเข้ามาเที่ยวอยู่บ้างแล้ว อีกหน่อยภายในถ้ำอาจจะมีไฟฟ้าส่องสว่างเห็นทางแน่ๆ ถ้าเราไม่มาตอนนี้ คราวหน้า มันอาจจะไม่สวยแล้วก็ได้
ผมและหนุ่มมุดรูเล็กๆนั่นไปทีละคน จนมาโผล่อีกด้านที่ใหญ่และโอ่โถงกว่า อากาศในนี้ไม่อบอ้าว ออกจะชื้นแฉะด้วยซ้ำ เราไปตามทางที่พอมองเห็น ค่อยๆใหญ่ขึ้นๆ เรารู้ว่าถ้ำนี้ทะลุได้แน่ๆ จากลมที่พัดอยู่ถึงจะไม่มาก แต่ก้อให้เรารู้สึกได้ว่ามีลมหมุนเวียนอยู่รอบตัวเรา ลึกเข้ามาเรื่อยๆหูพวกเราก็ได้ยินเสียงเหมือนกลุ่มคนอีกกลุ่มกำลังอยู่ภายใน เย้ๆๆ มีเพื่อนแล้ว เดินมาสักพัก ข้างหน้าเรามีแสงจากไฟฉายที่ส่องนำทางของนักท่องเที่ยวอีกกลุ่ม ไม่ใช่นักท่องเที่ยวธรรมดา เพราะเป็นพระที่อยู่ละแวกนั้น มีเณรน้อยนำทางให้
เราได้คุยกับพวกท่านสักพักก่อนที่จะเดินไปด้วยกันสู่ทางที่ลึกเข้าไป บางแห่งต้องก้มหัวมุด บางที่ก็โล่งกว้างใหญ่สมชื่อจริงๆ มีน้ำขังบ้างแต่ก้อมีทางให้เราได้เดินเลี่ยง สำรวจจนมาสุดทางที่เณรน้อยบอกว่าหมดแล้ว ต้องเดินกลับทางเดิม ระหว่างนั้น เณรส่องไปชี้ให้ดูรูปร่างต่างๆที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเหมือนสัตว์บ้าง เทพเจ้าต่างๆบ้างด้วยความชำนาญ จนมาถึงปากถ้ำขนาดใหญ่ เรารู้ทันทีว่า ไอ้ทางเที่เราเข้ามาเมื่อกี๊ ไม่ค่อยมีใครเค้าเข้าหรอก เพราะมันต้องมุดคืบคลานเข้ารู้ทำให้ร่างกายสกปรก ( กรำ….เลอะไปแล้ว)ทั้งขี้ค้างคาวก็มี เหอะๆ ช่างมันผ่านไปแล้ว ดันโง่เอง

หน้าถ้ำมีบันไดขนาดใหญ่ทอดลงไปด้านล่างที่เป็นวัด ผมเดินตามเณรน้อยจนมานั่งพักเหนื่อยบริเวณศาลา คิดว่าคงสบายแล้ว ไม่ต้องเหนื่อยอีก ที่ไหนได้ พอผมบอกเณรว่าจะต้องกลับไปจุดที่เราจอดรถไว้ คำตอบที่ทำให้เรา เริ่มท้อคิอทางที่เราจะกลับมีวิธีคแรกไปตามทางผ่านหมู่บ้านประมาณ 10 กิโล น่าจะใช้เวลานับชั่วโมงเลยกว่าจะถึง กับอีกทาง เดินขึ้นบันไดที่เราลงมาเมื่อกี๊กว่าสามร้อยขั้น และลัดเลาะตามไหล่เขาที่เราผ่านมาเพื่อกลับไปประมาณ 1 กิโลแต่ก็ต้องปีนป่ายลุยป่าฝ่าดงอีกนิด ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึง ฮ่าๆๆ มองกลับขึ้นไปที่บันไดแล้วก็ท้อใจ เฮ่อออออออ แล้วนี่กรูจะเดินลงบันไดมาทำไมวะเนี่ย ขอนั่งอีกนิดละกันน๊า
ตัดสินใจยอมเหนื่อยอีกรอบ กลับไปทางเดิมละกัน มีเณรนำให้อีกครั้ง ระหว่างเดินไปเณรยังแนะนำว่าบริเวณนั้นมีถ้ำน้ำที่เราสามารถเข้าไปได้ น้ำจะสูงอยู่แค่คอเท่านั้น ผมหันกลับไปมองหน้าหนุ่ม และคำตอบที่ได้คือไม่ เพราะหนุ่มไม่มั่นใจว่าอะไรอยู่ในน้ำนั่น ไม่เสี่ยงดีกว่า เราลุยมาเรื่อยๆจนถึงรถที่จอดไว้ ไม่รอช้าสตาร์ทเครื่องมุ่งหน้าจุดหมายต่อไป อำเภอนาด้วง ทันที
ปล ใครที่อยากไปสัมผัสถ้ำทั้งสองนี้ บอกได้เลยว่าเจ๋งสำหรับคนที่ชอบแนวนี้นะ ไม่ผิดหวัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น