24 hours on the way
เที่ยวคราวนี้ผมได้มีโอกาสพาเพื่อนสาว เพื่อนจริงๆนะครับขึ้นภาคเหนือ ด้วยความที่เพื่อนคนนี้เป็นสาวใต้ไม่เคยได้เที่ยวเหนือเลย ซ้ำไม่เคยที่จะซ้อนมอเตอร์ไซด์ไกลๆอย่างนี้ด้วยซ้ำ นี่จะเป็นทริปแรกที่ได้ไป ผมกำหนดเวลาการเดินทาง สองวันสำหรับครั้งนี้ในเดือนธันวาคมช่วงที่อากาศหนาวพอดี เราออกเดินทางจากปั๊ม ปตท วงแหวนบางบัวทอง ตอนหนึ่งทุ่ม ใช้รถคู่ใจ bmw k100rs พ่วงกระเป๋าหลังอีกหนึ่งใบใส่สัมภาระ และเต็นท์พักสำหรับสองคน เราออกเดินทางมาได้ไม่ถึงกิโลก็เจอด่าน ด้วยความที่ผมเห็นว่ามึดแล้วเลยวิ่งฉีกขวาเพื่อจะเข้าเส้นทางด่วน โดนซะร้อยนึงค่าผ่านทาง เปิดทริปก็ไม่สวยซะแล้วงานนี้ เรามุ่งหน้าเข้าบางปะหัน ตัดเข้าทางหลวงหมายเลข 1 จุดหมายคืนแรกคือโรงแรมในจังหวัดตาก ผมวิ่งรถผ่านนครสวรรค์ด้วยความเร็ว 130-140 โดยเฉลี่ย ช่วงนี้มีรถมาก เพราะเป็นวันสุดสัปดาห์ บางทีรถก้อชะลอตัว มาถึงกำแพงเพชรมีรถข้างหลังสาดไฟสูงใส่ผม หรือรถคันหน้าก็ไม่แน่ใจ หรือว่าจะให้ผมหลบทางผมไม่อยากเดาจึงตีออกด้านซ้ายทั้งที่รู้ว่ามันไปไม่ได้หรอกเพราะรถข้างหน้าก้อวิ่งชะลอตัวเหมือนกัน พอผมหลบทางให้ รถปิคอัพโตโยต้าแต่งซิ่งก็ขนาบข้างพร้อมกับยกนิ้วกลางออกมาข้างกระจกคนขับ อะไรของมึงวะเนี่ย ดูเหมือนว่าจะเมาด้วย ผมไม่แน่ใจว่า มันมีเยอะจนให้ผมหรือว่าไอ้รถแต่งซิ่งคันหลังที่ตามมากันแน่ เกิดอารมณ์นะครับอยากจะเข้าไปถามมันใกล้เหมือนกัน แต่ติดที่คนซ้อนนี่สิผมคงรับผิดชอบชีวิตเค้าไม่ไหวแน่ เลยปล่อยเลยตามเลยจนอารมณ์เดือดหายไป
คืนนี้ที่ขับรถมาอากาศหนาวมาก เราวิ่งตากลมมาเรื่อยๆจนจังหวัดตาก หาที่พักยากครับเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เหล่าเซลล์แมนทั้งหลายก็ชอบมาพักที่นี่กันก็เยอะ เราวนหาที่พักจนได้ในโรงแรมใหญ่กลางเมือง ราคาใช่ย่อย แต่ทำไงได้ ไม่มีที่นอน นี่ถ้าไม่มีเพื่อนมาด้วย ผมคงเข้าไปขอวัดนอนแล้ว ตอนนั้นดึกครับ ประมาณสักเที่ยงคืนได้ ได้ที่ไหนก็เอาวะ เราช่วยกันขนของแล้วอาบน้ำอุ่นๆนอนหลับสบายกันไปทั้งคู่
วันนี้ผมตื่นสายครับ แต่ก็ยังทันอาหารเช้า เราลงมาซัดกันจนอิ่มแล้วออกเดินทางสู่เป้าหมายต่อไป ปางอุ๋ง ผมใช้เส้นทางเดิมคือเข้าทาง เถิน ลี้ ฮอด ดอยเต่าสู่แม่สะเลียง ผมเข้าเลยตัวอำเภอเถินได้ไม่นาน คราวซวยผมก็มาถึงอีกรอบ จากการที่เพื่อนผมไม่เคยซ้อนรถแบบนี้ บวกกับน้ำค้างบนพื้นถนนยังไม่แห้งดี และไปเจอกับเศษหินลอยอยู่บนพื้น ทำให้ล้อหน้าแฉลบแล้วลงไปนอนกอดกันกลิ้งไปบนพื้นถนน ช่วงนั้นเอาไม่อยู่ หาที่กำบังก่อนจะตกเขา เราทั้งคู่ไถลไปไม่ไกลนัก แต่รถที่ผมเพิ่งขับมะตะกี๊ไหลไปกว่าสิบเมตร ผมลุกขึ้นด้วยอาการชาที่ขา ได้สติแล้วผมเช็คเพื่อนว่าเจ็บหนักแค่ไหน เราทั้งคู่ไม่เป็นอะไรมากมีรอยฟกช้ำบ้างนิดหน่อยเท่านั้น ผมเดินไปตามทางที่มีน้ำมันไหลนอง รถ bmw ไม่มีก๊อกปิดน้ำมัน เบนซินที่เราเติมมาเมื่อกี๊บวกกับน้ำมันเพลาท้ายที่หัวน๊อตหลุดหายไปค่อยๆไหลลงไปตามทางลาดลงเขา ดีที่มันอยู่บนไหล่ทางไม่ใช่กลางถนน ไม่งั้นรถที่ตามมาคงซวยเพราะเราเป็นต้นเหตุแน่ๆ ตอนนั้น มีรถบรรทุกคันใหญ่วิ่งมาเจอเราหลายคัน แต่ไม่มีใครจอดช่วย และผมก็เข้าใจ ในทางสูงชันแบบนี้ถ้าขืนจอดรถคงไหลแน่ๆ ผมพยายามช่วยตัวเองด้วยการยกรถหนักว่า 300 – 400 กิโลขึ้น มันหนักจริงๆครับยกรถบนทางเอียงและชัน หนำซ้ำยังเจ็บขนาดนี้ถึงจะมีเพื่อนมาช่วยอีกคนก็ไม่ขึ้น ผมรอจนกว่าจะมีใครซักคนจะพอมาช่วยไหว แล้วเหยื่อของเราก็มาครับ ขับเบนซ์คันโต ดูวัยกลางคนแล้ว ในนั้นมีผู้หญิงมาด้วย ผมไม่สนโบกอย่างเดียว จอดครับ รถคันนั้นเข้าไหล่ทาง แล้วลงมาช่วยผมยก ถึงแม้เราจะเป็นผู้ชายแข็งแรงทั้งคู่แต่กว่าจะเอาขึ้นได้เล่นเอาลุ้นหลายรอบทิ้งรถแล้วทิ้งรถอีก เราพูดคุยกันสักพักก่อนผมจะขอบคุณแล้วแยกย้ายกันเดินทาง ผมเดินสำรวจสภาพรถเห็นว่าน๊อตที่ปิดรูถ่ายน้ำมันเฟืองท้ายหายไป น้ำมันไหลออกมาเกือบหมด กระจกมองหลังข้างด้านขวาหลุด แตกละเอียด แฟริ่งด้านข้างฉีกแต่ไม่หลุดออกจากตัวรถ ดูสภาพแล้วผมคิดในใจว่า เอาไงดีวะ จะกลับหรือจะลุยต่อ ระหว่างที่คิดผมเดินหาน๊อตที่หายไปจนเจอ และเช็คพื้นถนนถึงรู้สาเหตุของการล้มเมื่อกี๊ ผมคิดคนเดียวคงไม่ได้เพราะเรามาด้วยกัน ว่าตามสภาพร่างกายผมยังพอไหว คำตอบจากเพื่อนคือถ้าไหวก็ไปต่อ ถึงรถจะพิการตาบอดมองซ้ายได้อย่างเดียว แต่ไหนๆก็มาแล้ว เอาให้สุด ผมขึ้นคร่อมรถอีกครั้ง ออกตัวไปตามทางช้าๆเข้าสู่อำเภอลี้แล้วเข้าไปในร้านซ่อมรถยนต์เพื่อให้ช่างเติมน้ำมันเพลาที่หายไปให้เหมือนเดิม ตอนนี้อาการเจ็บเริ่มระบม ความขยาดยังไม่หาย ผมเริ่มขับรถช้าลง ถึงจุดหมายที่เราจะไปนอนกันคือปางอุ๋ง สภาพนี้คงขับเร็วไม่ได้นัก ทั้งคนและรถย่ำแย่พอกัน พอพร้อมแล้ว เราวิ่งรวดเดียวจากลี้ถึงสวนสนสามใบ อาการเจ็บตอนนี้ของผมทำให้ขาแข็ง เดินไม่ถนัดแล้ว ผมปล่อยให้เพื่อนเดินชมบรรยากาศโดยเดินตามอยู่ห่างๆ แล้วกลับมานั่งเลียแผลอยู่ที่รถ ตอนนี้จะนั่งยังลำบาก อาการเจ็บของผมหนักกว่าเพื่อนหลายเท่า แต่ผมก็รู้สึกดีนะครับ ที่เค้าไม่เป็นอะไรมาก เราเดินทางกันต่ออีกสักพักก็ถึงแม่สะเรียง แวะซื้อยาทำแผลและยากินให้บรรเทาอาการเจ็บ ผมนับถือเพื่อนคนนี้ครับ ไม่เคยบ่นเลย เราซื้อเสบียงเป็นเนื้อควายทุบ ซื้อเบียร์มาอีกห้ากระป๋อง กะว่าคืนนี้จะนั่งเมากันสองคน ที่ปางอุ๋ง เราออกมาจากแม่สะเรียงแล้วแวะเข้าขุนยวมเพื่อชมทุ่งดอกบัวตอง เสียดายครับที่ดอกมันเฉาไปเกือบหมดแล้ว ไม่มีนักท่องเที่ยวแล้ว เราเข้าไปถึงประมาณหกโมงครึ่ง ฟ้ามึดแล้วครับ ผมถามเพื่อนว่า ถ้าจุดหมายที่เราไปมันไม่ถึง จะว่าไรมั้ย มันก็บอกว่า หาที่พักแถวนี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ สายตาเราเหลือบไปเห็นป้ายข้างทางว่ามีที่พัก ผมเข้าไปตามซอยนั้นประมาณ 50 เมตร ก็มาถึงสถานีอนามัย ไม่แน่ใจครับ ว่าใช่หรือปล่าว ในนั้นมีคนสี่ห้าคนตั้งวงทานอาหารและดื่มกันอยู่ ผมจอดรถเข้าไปติดต่อ เมื่อได้รู้ว่าที่นี่มีที่ให้เราได้ซุกหัว ผมจึงจอดรถแล้วนั่งพักกันก่อนจะจัดของขึ้นไปเก็บบนห้อง ที่พักนี่ห้องใหญ่ครับ สามารถปูที่นอนเต็มๆได้ประมาณ 5 คน สะอาดสะอ้าน มีเครื่องทำน้ำอุ่นและดูปลอดภัย หลังจากเราเก็บของเสร็จ ผมกระเผลกลงมาพร้อมกับเบียร์และเนื้อควายทุบ ตอนนี้มันเย็นหมดแล้ว ช่วงต้นหนาวแบบนี้ หนาวถึงขั้วหัวใจเลยครับ หายใจเป็นไอ เพื่อนผมตื่นเต้นมากเพราะมันไม่เคยได้เจอะกับอากาศแบบนี้ ภาคใต้มีแค่ร้อนกับฝนแค่นั้น รอบๆตัวเราเริ่มมีหมอกจางๆ ผมจัดเสบียงแล้วนั่งดื่มกินอาหารกับพวกพี่ๆเหล่านั้น ทุกคนเป็นหมอและพยาบาลครับ พอได้รู้ผมก็เล่าถึงอาการและเปิดดูบาดแผล พวกพี่เค้าไม่รอช้าครับ พาผมสองคนเข้าไปในอาคารหลังใหญ่ที่น่าจะเป็นที่สำหรับรักษาผู้ป่วย จัดการทำแผลให้เราทั้งคู่ เสร็จแล้ว เราออกมาร่วมวงกันต่อ เหมือนโลกมันกลม พี่หมอคนหนึ่งรู้จักกับรุ่นพี่สนิทกันมากที่ขับรถกับผมอยู่ประจำ ทำให้เรายิ่งถูกคอกันมากขึ้น เค้าเดินมาสำรวจรถและพูดคุยกันตามประสาคนสองล้อ และเหมือนว่าจะบังเอิญ ผมออกมานั่งสูบบุหรี่บนสนามหญ้า มองท้องฟ้าที่มึดสนิทเห็นดาวทุกดวงได้ชัดเจน แล้วมันมีดาวตกครับ และไม่ใช่ดวงเดียว มันเป็นช่วงที่ฝนดาวตกพอดี ผมเรียกเพื่อนออกมานั่งดูด้วยกัน เราต่างตื่นเต้น เพราะที่นี่เห็นบ่อยครั้ง นี่ถ้าอยู่กรุงเทพคงไม่มีสิทธิได้เห็นชัดๆแบบนี้ ถือว่าเป็นโชคที่ดี คืนนั้นถึงเราจะไม่ได้ไปนอนที่ปางอุ๋ง กินบรรยากาศสวยๆในคืนนี้ นี่ถ้าเราไม่ซวยก็คงไม่โชคดีได้เจอเพื่อนใหม่หัวใจงาม
เราตื่นแต่หกโมงเช้า ทนอาบน้ำที่แม้แต่เครื่องทำน้ำอุ่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เก็บของแล้วเดินทางกันต่อ เช้านี้หมอกหนา ระยะที่เรามองเห็นไม่เกิน 10 เมตร ทำให้การขับรถเช้านี้ไปได้ไม่เร็วนัก เพื่อนผมยิ่งตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบตัว เราคลานออกจากขุนยวมมุ่งหน้าเข้าแม่ฮ่องสอนแล้วผ่านเลยขึ้นปางอุ๋ง เส้นทางคดเคี้ยวขึ้นเขาชันและแคบจนต้องให้สัญญาณตอนที่อยู่ในโค้งทุกครั้ง ผมยังไม่หายขยาดครับ เราขึ้นไปถึงประมาณเที่ยงแล้ว คนไม่เยอะ แต่มีร่องรอยการกางเต็นท์ให้เห็นบ้าง เพื่อนผมพอใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันสวยกว่าที่เค้าคาดหมายไว้ถึงจะไม่มีหมอกจางๆไหลเลื่อนอยู่บนผิวน้ำยาวเช้า แต่ตอนนี้น้ำสีเขียวมรกต นิ่ง สงบยังคงให้ความงามได้แม้จะเป็นช่วงเที่ยง เพื่อนผมเก็บบรรยากาศและถ่ายรูปไว้จนพอใจ เรามุ่งหน้าไปปายต่อ ผมหวดรถ แวะกินอาหารบ้างตามทาง กว่าจะถึงปายก็สี่โมงเย็น ความจริงน่าจะไปถึงเร็วกว้านี้ ถ้าทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ผมพาเพื่อนแวะเที่ยวปายได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องหวดรถกลับลงมาทันที เพราะในคืนนี้เราต้องกลับให้ถึงกรุงเทพ เราแวะกินข้าวอีกครั้งก่อนเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วขับรถกันยาวนาน ง่วงมากครับ และหนาวด้วย แต่ต้องเฆี่ยนให้ได้ พรุ่งนี้เพื่อนผมต้องทำงานแต่เช้า เราขับกันมาจนเกือบหมดแรง จนก๊อกสุดท้ายเมื่อมือเพื่อนหลุดจากเอวที่เกาะผม รู้เลยว่าหลับไปแล้ว ผมหาปั๊มน้ำมัน จอดและให้เพื่อนได้นอนโดยผมนั่งสะลึมสะลืออยู่ข้างๆ จนเพื่อนตื่น ผมเลยขอนอนมั่ง ใช้เวลาคนละ 15 นาที หลังตื่นเราเติมคาเฟอีนอีกคนละแก้ว แล้วใช้ถนนหมายเลข 1 ตัดเข้าวงแหวนบางบัวทองก่อนไปส่งเพื่อที่ big king บางใหญ่แล้วแยกย้ายกันกลับ สรุปว่าเรามาถึงกรุงเทพตอนประมาณเจ็ดโมงเช้า ผมทั้งเหนื่อยและล้าจากการขับรถอยู่เกือบตลอดเวลากว่า 24 ชั่วโมง และวันนั้นเพื่อนผมก็ไม่ได้ไปทำงาน ด้วยอาการเดียวกัน ผมกลับมารักษาตัวไม่นานแผลก็หายปกติ แต่แผลในใจกว่าจะกล้าขับรถเล่นโค้งอย่างที่เคย ใช้เวลานานหลายเดือน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบเวลามีคนถามว่าเข่าไปโดนอะไรมา จะเอาโพสท์นี้ให้เค้าอ่าน
ตอบลบ